แค่อ่านชื่อหนังสือก็ดูเหมือนจะเป็นนวนิยายรักหวานชื่นที่ “ตั้งคำถาม” ต่อความรักของหนุ่มสาว แต่เมื่ออ่านจนจบฉันขอสรุปว่า สาระที่ผู้เขียนสื่อกับผู้อ่านคือ การตั้งคำถามต่อการดำรงอยู่ของ “ความดี” ว่าจะดำรงอยู่ได้นานแค่ไหนในสังคมยุคใหม่
หนังสือบอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวชาวจีนชื่อ “ไป๋ต้าสิ่ง” ที่เกิดและเติบโตใน “ตรอกฟู่หม่า” (ฟู่หม่าหูท่ง) กลางกรุงปักกิ่งยุคปัจจุบัน เธอเกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติของการเป็น “คนดี มีคุณธรรม” (ภาษาจีนเรียก “เหรินอี้”)
ตั้งแต่เล็กมาเธอทำทุกสิ่งเพื่อผู้อื่น ยอมเสียเปรียบผู้อื่นตั้งแต่สิ่งเล็กๆ กระทั่งสิ่งใหญ่ๆ เมื่อเธอโตเป็นสาวโดยไม่รู้สึกว่า “เสียเปรียบ” ไม่เคยโกรธ ไม่เคยโทษใคร แต่กลับโทษตัวเอง เธอมีผู้ชายมาชอบหลายคนและเธอก็มีใจชอบชายเหล่านั้น แต่เธอก็สูญเสียผู้ชายคนแล้วคนเล่าให้แก่หญิงอื่น
เรื่องใหญ่ที่สุดในบทสุดท้ายของหนังสือมี ๒ เรื่องมาถึงพร้อมๆ กัน คือ น้องชายกับน้องสะใภ้มาขอบ้านในตรอกฟู่หม่าที่เธออาศัยอยู่ เธอโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเพียงครู่ยาม เมื่อผ่านไปชั่วข้ามคืน เธอกลับรู้สึกผิดและบอกกับน้องชายน้องสะใภ้อย่างสุภาพว่า เป็นความคิดของเธอล้วนๆ ที่จะให้เขาทั้งคู่มาอยู่แทนที่เธอในบ้านแห่งนี้ ส่วนเธอจะไปอยู่ดูแลแม่แทนที่คนทั้งสองเอง หากทั้งคู่ปฏิเสธเธอจะเสียใจอย่างมาก นั่นเป็นเรื่องแรก เรื่องที่ใหญ่และเป็นบททดสอบความดีที่สำคัญยิ่งกว่า คือ อดีตชายคนรักที่ทิ้งเธอไปอยู่กับหญิงอื่นอุ้มเด็กหญิงอายุ ๒ ขวบมาคุกเข่าขอแต่งงาน เธอปฏิเสธอย่างโกรธเคืองในวูบแรก
เราที่เป็นคนอ่านย่อมคาดเดาตรงกันว่า ชายคนนี้ย่อมหวังเอาลูกของเขามาให้ “ไป๋ต้าสิ่ง” เลี้ยงเพราะเขากำลังจนตรอก แล้วลุ้นให้เธอตัดสินใจอย่างที่เราคิด แต่นั่นย่อมไม่ใช่ไป๋ต้าสิ่ง
คำถามสำคัญ(ที่เป็นชื่อเรื่อง) “ตลอดกาลน่ะนานแค่ไหน” โผล่มาในสองหน้าสุดท้ายของบทจบจากบทสนทนาระหว่าง “ฉัน” ที่เป็นผู้เล่าเรื่องกับไป๋ต้าสิ่ง คำถามนี้ปรากฎอยู่อย่างเหมาะเจาะตลอดทั้งสองหน้า ฉันอ่านซ้ำไปมาเพื่อซึมซับสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อกับผู้อ่าน...ช่างจับใจยิ่งนัก
การเป็นคนดีแบบไป๋ต้าสิ่งเป็นความดีแบบอุดมคติ ดีต่อทุกคนรอบข้างที่เข้ามา ดีจนยอมเบียดเบียนตัวเองเพื่อคนอื่น รู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกผิด ถ้าไม่ได้ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นขอ และเมื่อได้ให้ไปแล้วเธอรู้สึกสุขใจ เป็นการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
คนทุกวันนี้อาจมองคนอย่างไป๋ต้าสิ่งว่าเป็นคน “ดีแบบโง่ๆ” แต่ถ้าถามว่าเราอยากเจอคนแบบนี้หรือไม่ ใครจะกล้าตอบว่า “ไม่นะ” หรือ “ไม่มีหรอกคนแบบนี้ แต่ถ้ามีก็ดีนะ”
คำถามจากปุถุชนอย่างเราๆ ที่ยังเจือด้วยกิเลส โลภ หลง อยู่คือ ความดีแบบนี้ยังมีอยู่อีกหรือ และถ้ายังมีมันจะดำรงอยู่ได้นานแค่ไหนในสังคมที่คนต่างเห็นแก่ตัวเอง
ผู้เขียนฉลาดล้ำลึกที่จะสร้างตัวละครแบบนี้ขึ้นมากระทบกระเทียบค่านิยม “ความดีอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง” ที่ไม่รู้ว่ายังมีอยู่จริงหรือไม่.
จันทร์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๘
เกี่ยวกับหนังสือ
พระราชนิพนธ์แปล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ผู้เขียน : เถี่ยหนิง
สำนักพิมพ์ : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่น พิมพ์ครั้งที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๗
ได้อ่านแล้ว และชื่นชอบแนวเขียนนี้มากค่ะ
ใช่ค่ะน้อง Bright Lily
เราคงต้องช่วยกันให้คุณค่าความดี และ คนทำดีอย่างต่อเนื่องค่ะ
ได้อ่านหนังสือดีๆ นี่เป็นความสุขมากนะคะพี่ใหญ่ นงนาท สนธิสุวรรณ
ขอโทษนะคะที่เข้ามาตอบช้า พักนี้หาเวลาเข้ามาไม่ค่อยได้ค่ะ
หาอ่านนะคะน้องเพชร เพชรน้ำหนึ่ง
ไม้กวาดใบเป้ง ไม่เคยได้ยิน ท่าทางจะแน่น กวาดดี เดี๋ยวจะไปอ่านทำความรู้จัก
ขอบคุณอาจารย์ GD และ พี่กาญจนา kanchana muangyai ที่เข้ามาอ่านค่ะ
หนังสือดีๆ สักเล่ม กระตุ้นให้เราคิดได้เยอะค่ะ อาจารย์ ธนิตย์ สุวรรณเจริญ
สังคมเราย่อมน่าอยู่ถ้าเราเจอคนดีเยอะๆ ไม่ต้องดีขนาดไป๋ต้าสิ่งก็ได้
พี่เองก็ได้ข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับการศึกษาจากอาจารย์เยอะมาก เขียนบ่อยๆ นะคะ
เส้นแบ่งมันบางมากนะครับ แค่ไหนถึงจะ
ดีแบบโง่ๆ
ดีจนยอมเบียดเบียนตนเอง
"ดีแบบโง่ๆ" เป็นสำนวนดิฉันเอง เพราะคนรุ่นใหม่เขาไม่ดีจนเบียบเบียนตัวเองกันหรอกค่ะ ขอแค่ "ดีธรรมดา" คือดีโดยไม่เบียบเบียนตัวเองก็พอแล้ว
หนังสือเล่มนี้ดีมาก ดิฉันชอบ "ความคิดเชิงปรัชญา" ที่ซ่อนอยู่ ชอบมากค่ะ