ลุงเหมย
ข้าราชการครูบำนาญ นายชุมพล บุญเหมย

พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบและบุตรที่ประเสริฐที่สุด ตอนที่ ๕


 นักเรียนทั้งหลาย.... บัดนี้เป็นการพูดกับนักเรียน โดยหัวข้อว่า...บุตรที่ประเสริฐที่สุด... ตำว่า บุตรที่ประเสริฐที่สุด เข้าใจว่าคงเป็นที่เข้าใจกันแล้วว่า หมายความว่าอย่างไร แล้วยังเชื่อว่า จะเป็นที่ปรารถนาของทุกฝ่าย คือ บิดามารดา ก็ปรารถนาให้บุตรเป็นบุตรที่ดีที่สุด คือ อยากจะมีบุตรชนิดที่ดีที่สุด แล้วฝายบุตรทั้งหลาย ก็คงอยากจะเป็นบุตรที่ดีที่สุด ของบิดามารดา ... ทีนี้ประชาชนทั้งหลาย แม้จะไม่เกี่ยวข้องเป็นบุตร เป็นบิดามารดาอะไรกัน ก็ยังมีความคิดว่า ขอให้เด็ก ๆ ทั้งหลายทุกคน เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาเถิด ..... นี่ตามความรู้สึก รู้สึกอย่างนี้ จึงถือว่าเป็นความปรารถนาของทุกฝ่าย พ่อแม่ก็ต้องการลูกที่ดีที่สุด ลูกก็คงตั้งใจเป็นลูกที่ดีที่สุด คนทั่วไปที่เขาเห็นเด็ก ๆ เขาก็อยากให้เด็กนั้น เป็นบุตรที่ดีที่สุดของบิดามารดา เพราะฉะนั้นเรามาพูดกันถึงเรื่องบุตรที่ดีที่สุด คงจะมีประโยชน์

ลักษณะของบุตร ๓ จำพวก ... ถ้าถือตามหลักของพระพุทธเจ้าก็ไม่ยากเย็นอะไรเลย คือท่านได้ตรัสไว้ชัดเจนว่า บุตรโดยทั่วไป มีอยู่ ๓ พวก : คือ บุตรที่ดีไปกว่าบิดามารดา , บุตรที่พอเสมอกันกับบิดามารดา , บุตรที่เลวกว่าบิดามารดา เป็น ๓ อย่าง อยู่ด้วยกัน อย่างนี้แล้วตรัสว่า พวกคนมีปัญญา เขาต้องการมีบุตรที่ดีกวาบิดามารดา หรือพอเสมอกันกับบิดามารดา ; แต่ไม่ต้องการบุตรที่เลวกว่าบิดามารดา ... แต่แล้วยังมีบุตรอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นบุตรประเสริฐที่สุด ไม่เนื่องกันกับบุตร ๓ ประการนี้ ; นั่นคือ บุตรที่เชื่อฟัง เป็นบุตรที่ประเสริฐที่สุด เราก็เลยได้บุตรเป็น ๔ จำพวกด้วยกัน ... ที่จริงแล้วนั้นมีอยู่เพียง ๓ จำพวกคือว่า ที่ดีกว่าบิดามารดา , เสมอกันกับบิดามารดา , เลวกว่าบิดามารดา มีอยู่ ๓ จำพวกเทานั้น แต่ไม่ระบุว่าพวกไหนประเสริฐที่สุด ไปตรัสว่า บุตรที่เชื่อฟังเป็นบุตรที่ประเสริฐที่สุด เพราะว่า เรื่อง ดีกว่า เลวกว่า เสมอกัน นี้เอาแน่ไม่ได้ เพราะว่าเขาวัดกันภายนอก เช่นว่าบุตรคนนี้มีทรัพย์สมบัติมากกว่าบิดามารดา มีเกียรติยศชื่อเสียงมากกว่าบิดามารดา มีฐานะสังคมดีกว่าบิดามารดา แล้วเรียกว่า บุตรที่ดีกว่าบิดามารดา แต่แล้วอาจเป็นบุตรที่หยาบคาย ไม่เชื่อฟังบิดามารดาเลยก็ได้ หรือจะเป็นที่เชื่อฟังบิดามารดาอย่างยิ่งด้วยก็ได้ ; ต้องมองกันอย่างนั้น

ทีนี้ บุตรที่เสมอกันกับบิดามารดา นั้น ก็เรียกว่าเขามีอะไรได้เสมอพอกับบิดามารดา มีทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง ฐานะในสังคม อะไรพอเสมอ ๆ กันกับบิดามารดาเคยมี อย่างนี้ก็เรียกว่า บุตรที่เสมอกันกับบิดามารดา ; แต่แล้วอาจจะเป็นบุตรที่เชื่อฟังบิดามารดาก็ได้ , ไม่เชื่อฟังบิดามารดาก็ได้

ทีนี้พวกที่ ๓ เลวกว่าบิดามารดา อับโชค น้อยวาสนา มีทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง ฐานะในสังคมต่ำกว่าบิดามารดา เขาเรียกว่าต่ำกว่าบิดามารดา แต่แล้วอาจจะเป็นบุตรที่เชื่อฟังก็ได้ หรือไม่เชื่อฟังบิดามารดาก็ได้

บุตรที่ประเสริฐที่สุด คือเป็นผู้เชื่อฟัง พระพุทธเจ้าท่านระบุไปยังบุตรที่เชื่อฟังว่า ประเสริฐที่สุด บุตรที่เชื่อฟังประเสริฐที่สุด จะมีฐานะทางสังคมดีกว่าบิดามารดา เสมอกันกับบิดามารดา ต่ำกว่าบิดามารดา เป็นประมาณ อาจจะไม่ประเสริฐก็ได้ ระบุไปยังบุตรที่เชื่อฟัง เป็นบุตรที่ประเสริฐที่สุด ... ฉะนั้นเด็ก ๆ อย่าไปคิดว่า อุตส่าห์เรียนให้ดี ให้เก่งกว่าบิดามารดา บิดาของเราไม่มีปริญญา เราเรียนให้มีปริญญายาวเป็นหาง ยาวเฟื้อย อย่างนี้ แล้วเราจะดีกว่าบิดามารดาอย่าได้คิดเลย ถ้าไม่เป็นบุตรที่เชื่อฟัง ย่อมไม่สามารถเป็นบุตรที่ประเสริฐที่สุดได้ ..... ทีนี้เราจะได้พูดถึงบุตรที่เชื่อฟังนั้นเป็นอย่างไร ? คำว่า บุตร นี้ ก็เล็งถึงบุคคลที่เกิดจากบิดามารดา แล้วกำลังปรับปรุงตัวเองอยู่ โดยฝีมือของครูบาอาจารย์ ของบิดามารดา เพื่อจะได้เป็นมนุษย์ที่เต็มตามความหมายของคำว่ามนุษย์ เป็นผู้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ก็ควรจะเป็นผู้ศึกษาเล่าเรียนที่ดี ..... ที่จริงคำว่า บุตร นี้ ก็มีความหมายกว้าง ไม่หมายเฉพาะว่า เด็ก ๆ เท่านั้นที่จะเป็นบุตร เพราะคนแก่หัวหงอกแล้ว ก็ยังเป็นบุตรอยู่นั่นแหละ เพราะว่าต้องมีพ่อแม่ คือว่ามีพ่อแม่ แม้ว่า คนแก่กำลังเป็นพ่อแม่ของเด็กบางคน ; แต่ว่าคนแก่นั้นก็ยังเป็นบุตรหรือเป็นหลานด้วยซ้ำไป ของคนแก่ที่แก่กว่านั้น ..... คำว่า บุตร นี้ ควรจะไม่จำกัดอายุ ขอแต่เพียงว่า คือผู้ที่คลอดออกมาจากบิดามารดาเป็นลำดับมา ก็เรียกว่าบุตร ถ้าจะประเสริฐที่สุด ต้องเป็นบุตรที่เชื่อฟัง ..... คำว่า เชื่อฟัง นี้สำคัญมาก เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ หรือเยาวชนกำลังวินาศอยู่หลายประการ ดูแล้วมีเหตุมาจากความไม่เชื่อฟังทั้งนั้น บางคนก็ติดยาเสพติด การไปติดยาเสพติดนั้นก็เพราะไม่เชื่อฟัง บางคนเหลวไหลในการเรียน นั่นก็เพราะไม่เชื่อฟัง บางคนเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก ใช้เงินเปลือง นี่ก็เพราะไม่เชื่อฟัง ในที่สุดคนไม่เชื่อฟังเหล่านี้ ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน ..... ฉะนั้นขอให้กลัวไว้ให้มาก ว่าอันตรายทั้งหลาย ของลูกเด็ก ๆ หรือนักเรียนเหล่านี้ มาจากการไม่เชื่อฟัง ถ้าเชื่อฟังแล้วก็จะเรียนดี แล้วก็หลีกเลี่ยงความชั่วความผิดพลาดทุกอย่างได้ ไม่ต้องมาผิดหวังจนกลายเป็นโรคประสาท มากเข้าถึงกับต้องกินยาฆ่าตัวตาย ความโง่ของเด็กคิดว่าแสดงบทบาทดีที่สุดแล้ว เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการก็กินยาตาย ก็เสียชาติเกิดเปล่า ๆ ไม่ได้รับประโยชน์อะไร นี่เพราะเหตุอย่างเดียวคือไม่เชื่อฟัง ถ้าเป็นบุตรที่เชื่อฟังจะไม่ต้องเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างจะประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ

ที่ว่า เชื่อฟัง นี้ เชื่อฟังใคร ? เด็ก ๆ ก็ จะเข้าใจได้เองว่า อย่างน้อยที่สุด เบื้องต้นที่สุด ก็เชื่อฟังบิดามารดาครูบาอาจารย์ เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า เราจะต้องเชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่ ถ้าจะให้ดี จะต้องเลยไปถึงว่าเชื่อฟังพระเจ้าพระสงฆ์ ถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นอีก ก็จะเชื่อฟังพระพุทธเจ้า หรือให้ตรงก็เชื่อฟังพระธรรม หรือเชื่อฟังความรู้สึกฝ่ายดี ฝ่ายถูก ฝ่ายสูง ที่มันมากระซิบอยู่บ่อย ๆ คนที่จะทำชั่วอะไรต่าง ๆ จะทำชั่วอะไรก็ตามย่อมรู้สึกว่าชั่วอยู่แล้วทั้งนั้นแหละ แต่ก็ยังไปทำชั่ว จะไปทำอบายมุขข้อไหน ก็รู้อยู่ทั้งนั้น ว่าเป็นอบายมุข คือชั่ว มันต้องมีความรู้สึกว่าชั่ว แล้วก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็อยากจะลองหรือว่าโง่ไปตามคนชักชวน ทั้งที่เขาชวนในทางโง่ ก็รู้ว่าโง่แล้วก็ยังอยากลอง ถึงแม้จะถูกเขาหลอกให้ทำก็ยังรู้ว่ามันเป็นความชั่ว ..... นี่ขอให้คิดดูให้ดีว่า มันมีความรู้สึกได้อยู่ว่า อะไรดีอะไรชั่ว แต่แล้วเราไม่เชื่อฟังความรู้สึกฝ่ายดี เราไปเชื่อฟังความรู้สึกฝ่ายชั่ว เขาเรียกว่า ธรรมชาติฝ่ายต่ำ ไม่รักดี ไม่อยากดี ไม่กลัวบาป นั้นมันเป็นธรรมชาติฝ่ายต่ำ มันมาชักชวนให้ทำชั่ว ..... ทีนี้ ความรู้สึกฝ่ายดี มันก็ทักท้วงว่า นี้มันชั่ว นี้มันบาป บิดามารดาครูบาอาจารย์เขาห้ามไว้ไม่ให้ทำ แต่มันไม่สำเร็จ คือจิตใจมันไม่เชื่อฟัง มันไม่เชื่อฟังความรู้สึกฝ่ายสูง มันไปเชื่อฟังความรูสึกฝ่ายต่ำ นี้ก็เรียกว่าความไม่เชื่อฟังด้วยเหมือนกัน ไม่เชื่อฟังธรรมะ ..... ธรรมะนี้มาได้หลายทิศทาง รู้สึกได้เองก็ได้ ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ได้ ได้รับคำสอนจากบิดามารดา ครูบาอาจารย์ จดไว้ จำไว้ เป็นธรรมะสำหรับตักเตือนตัวเองก็ได้ ..... ได้ยินนักเรียนสวดมนต์ได้ พูดธรรมะได้ ฉะนั้นจึงเขาใจว่า นักเรียนล้วนแต่ได้ศึกษาธรรมะมาพอสมควร นั่นแหละจะเป็นสิ่งที่คอยตักเตือน ห้ามกัน ไม่ให้พลัดตกลงไปในความชั่ว ปัญหามันก็เหลืออยู่แต่ว่า เราจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟัง ?

ท่านกัลยาณธรรมและรัตนมิตรที่กระผมเคารพทุกท่าน ก็จบไปอีกตอนหนึ่งของคำบรรยายของพระคุณเจ้าท่านพุทะธาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม ซึ่งอีตาลุงเหมยเห็นว่ามีประโยชน์มากในสังคมปัจจุบันนี้ ต่อไปก็จะเป็นคำบรรยายต่อของพระคุณเจ้าท่านในเรื่อง " อันตรายของบความไม่เชื่อฟัง " อดใจรออีกสักนิดนะครับขอกราบสาธุอีกครั้งครับ.....ลุงเหมย

หมายเลขบันทึก: 573484เขียนเมื่อ 29 กรกฎาคม 2014 11:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 กรกฎาคม 2014 11:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท