หนึ่งในโครงการโรงเรียนจัดการความสุข ซึ่งเป็น Life Project ของดร.ป๊อป ผู้นำเครือข่ายสุขภาวะ หรือ คศน. ได้เปิดฉากแรกในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้สหวิชาชีพทางการแพทย์ การศึกษา และศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก รวมทั้งผู้ปกครองที่มีประสบการณ์หรือสนใจในการเพิ่มโอกาสพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของลูกหลานตามวิถีธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิทธิหลักที่ผู้ปกครองจะเป็นผู้จัดการศึกษาให้กับลูกหลานตามพรพ.การศึกษาแห่งชาติ ในการเลือกศึกษาที่หลากหลาย (ในระบบ นอกระบบ หรือการศึกษาตามอัธยาศัยที่เทียบโอนได้) โดยเฉพาะการจัดการศึกษาแบบบ้านเรียนหรือ Homeschool ที่ตระหนักถึงการพัฒนาศักยภาพเด็กรายบุคคลที่มีต้นทุนชีวิตที่งดงาม (ความสนใจ ความสามารถ ความรู้ความเข้าใจ และคุณลักษณ์) และพร้อมเชื่อมโยงกับการเรียนรู้ในทรัพยากรทางสังคมและธรรมชาติที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และมีการประเมินตามแผนการพัฒนาเด็กที่มิใช่กลุ่มสาระการเรียนรู้ แต่เป็นกลุ่มกิจกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ที่เด็กๆควรได้รับการศึกษาทักษะชีวิตเป็นพิเศษ เช่น เด็กไม่ควรสอนสะกดคำให้อ่าน แต่ผู้ปกครองอ่านให้เด็กฟังและค่อยๆทำความเข้าใจคำต่างๆเป็นธรรมชาติ เด็กทำอาหารง่ายๆ ก็สามารถเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และสังคมศึกษาไปพร้อมๆกัน เป็นต้น
การประเมินผลการเรียนรู้ที่เน้นทักษะชีวิต (Skills based learning) มีความน่าสนใจตรงที่ผู้ปกครองเน้นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) อย่างต่อเนื่องในแต่ละหลักสูตรบ้านเรียนตั้งแต่ป.6 ถึงม.3 และม.6
จากนั้นก็มีกรณีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จคือ บ้านเรียนชวนชื่น ที่มีการระดมความคิดและความรักของผู้ปกครองหลายท่านที่ต้องการพัฒนาเด็กในหลายระดับความสามารถมากกว่า 10 กลุ่ม และมีการวิจัยพัฒนากรณีศึกษามากมายที่พูดช้า เรียนรู้ช้า มีปัญหาอารมณ์ มีภาวะโรค และมีปัญหาสังคม ที่เกิดการพัฒนาได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปผ่านการบำบัดด้วยกิจกรรมที่ไม่ซ้ำในแต่ละอาทิตย์ เป็นการเพิ่มความคิดความเข้าใจสังคมที่ช่วยเหลือเด็กเหล่านี้แบบ "เข้าใจศักยภาพเชิงบวก" มากกว่า "ความสงสาร" และมีความเชื่อมั่นว่า "ผู้ปกครองมีความพร้อมในการพัฒนาเด็กด้วยความเข้าใจและความรัก" ซึ่งอาจหาได้ยากในบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานประจำแต่ในบริบทของคลินิก และที่น่าสนใจคือ "บัวมหามิตรที่น่าจะเป็นสัณลักษณ์ของเด็กพิเศษ ซึ่งกว่าจะทำได้แต่ละชิ้นงานนั้นไม่ง่ายเลย คลิกอ่านที่นี่
อย่างไรก็ตามในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งนี้ ก็มีประเด็นที่ควรศึกษาต่อยอด ได้แก่:-
พี่ค้นตู้หนังสือเก่าที่บ้านเจอหนังสือชื่อ "บ้านเด็ก" เขียนโดย ดร.ประมวญ ดิคคินสัน (๒๕๓๐) เมื่อคืนเพิ่งเปิดอ่านได้ ๒-๓ บท เล่าเรื่องการพัฒนาเด็กตามแนวของ คุณหมอมาเรีย มอนเตสเซอรี่ จิตแพทย์ชาวอิตาลีที่สนใจเรื่องการศึกษาจึงมาเรียนเพิ่มเติมด้านการศึกษาจนเชี่ยวชาญ คุณหมอมาเรียศึกษาแนวคิดของแพทย์ที่ทำงานด้านจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษหลายๆ ท่านและนำมาใช้ กลุ่มเป้าหมายแรกที่นำมาสาธิตการสอนคือเด็กปัญญาอ่อน คุณหมอพัฒนาหลักสูตรและจัดอบรมครู เวลาผ่านไป ๒ ปี เด้็กกลุ่มที่ถูกตราว่าคงจะพัฒนาไม่ได้ กลับผ่านการสอบระดับประถมศึกษาทุกคน
คุณหมอนำแนวคิดไปเผยแพร่สนับสนุนให้ผู้ปกครองรวมตัวกันจัดการสอน ดร.ประมวญใช้คำว่า "บ้านเด็ก" (ไม่รู้ว่าคำศัพท์เดิมคืออะไร) เน้นการพัฒนารายบุคคล
ในเล่มนี้มีตัวอย่างโปรแกรมการจัดกิจกรรมแต่ละวันให้เห็นภาพ มีิวิธีประเมินชัด (พี่ชอบวิธีคิดแบบนี้มาก)
อาจารย์คงรู้จักคุณหมอมาเรียดีกว่าพี่แน่นอน
ขออนุญาตแสดงความเห็นสำหรับโปรแกรมของอาจารย์นะคะว่า
- ถ้าเรามีหลักสูตร (หลักการ เป้าหมาย วิธีการ วิธีประเมิน ที่เป็นรูปธรรม ) และจัดอบรมพ่อแม่เด็กๆ ทั้ง ๒๐ ครอบครัว พี่คิดว่าพ่อแม่จะมีศักยภาพสูงที่จะพัฒนาลูกตัวเอง เป็นรายบุคคล
- ให้มีที่ปรึกษา (เมื่อมีข้อสงสัย) และมีการนัดพบกลุ่มกันทุกสามเดือนเพื่อประเมินความก้าวหน้า
- พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ ให้แก่บุคลากรที่จะเป็น "ผู้สนับสนุน" เพื่อให้เข้าในแนวคิดเรื่อง การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนารายบุคคล ไม่ใช่การดูแลสุขภาพ
ดีใจมากที่อาจารย์ทำเรื่องนี้ ให้กำลังใจ และรอติดตามความก้าวหน้านะคะ
ขอบพระคุณมากครับพี่ Nui ขอเรียนเชิญเป็นกัลยาณมิตรของโรงเรียนการจัดการความสุขนะครับ โรงเรียนนี้บูรณาการแนวคิดคุณหมอมาเรีย กิจกรรมบำบัด และแนวคิดการสร้างพลังชีวิตด้วยตนเองตลอดทุกช่วงวัย
ขอบพระคุณมากครับอ.นุ คุณเพชรน้ำหนึ่ง พี่โอ๋ คุณ Noktalay พี่ณัฐพัชร์ คุณยายธี คุณ tuknarak คุณมะเดื่อ คุณกุหลาบ และพี่ rojfitness
ขอบพระคุณมากครับอ.ภูสุภา