ลุงเหมย
ข้าราชการครูบำนาญ นายชุมพล บุญเหมย

พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ และบุตรที่ประเสริฐสุด ตอนที่ ๒


ลักษณะของบิดามารดาฝ่ายวิญญาณ....... เอ้า , ทีนี้ก็มาถึง บิดามารดา ฝ่ายวิญญาณ. การเกิดทางวิญญาณได้กล่าวมาแล้วว่า เป็นการเกิดแห่งจิตใจ คือจิตใจที่มันเหมือนกับหุบอยู่นั้นมันบานออกมา จิตใจที่มืดมนอยู่มีความสว่างไสวขึ้น. การเกิดทางวิญญาณนี้ ; ผู้ที่ช่วยให้มีความเกิดทางวิญญาณนี้ก็จะเป็นบิดามารดาเองก็ได้ , เป็นพระเจ้าพระสงฆ์ก็ได้.  บิดามารดาให้กำเนิดทางกาย มาทีหนึ่งแล้ว เสร็จไปตอนหนึ่งแล้ว ; แต่ถ้าสามารถจะให้การเกิดทางวิญญาณได้ก็ยิ่งดี ได้แก่บิดามารดาที่ได้ศึกษาพระธรรมหรือหลักพระศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมที่ดีงาม ทุกสิ่งทุกอย่าง ; เป็นผู้รู้เป็นผู้แตกฉาน ในเรื่องอย่างนี้ , แล้วบิดามารดานี้ยังสามารถจะให้กำเนิดในทางวิญญาณ อีกทีหนึ่งด้วย หรือว่าจะให้มาพร้อม ๆ กัน คู่กันมากับการอบรมให้เจริญก้าวหน้าในทางฝ่ายร่างกาย เห็นได้ง่าย ๆ ว่า บิดามารดาเลี้ยงลูกมา ให้เจริญทางร่างกาย แล้วก็อบรมมาให้เจริญในทางจิตใจ ; อย่างนี้เราเรียกว่า บิดามารดานั้นได้ช่วยให้เด็กนั้นเจริญขึ้นมาทั้งทางฝ่ายร่างกาย และฝ่ายวิญญาณ ก็เป็นพ่อแม่ทั้งทางฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ´ในฝ่ายวิญญาณนี้ เราจะเล็งถึงการที่ท่านสามารถชักนำให้มีศีลธรรมดีนี้อย่างหนึ่ง ชักนำให้มีหลักพระธรรมดีและถูกต้อง นี้อย่างหนึ่ง

         หลักธรรมแบ่งเป็นขั้นธรรมดาและโลกุตตระ ..... ขอแบ่งพระธรรมออกเป็น ๒ ตอน : ในตอนศีลธรรม คือหลักธรรมะพื้นฐานทั่วไป นี้อย่างหนึ่ง , หลักพระธรรมชั้นสูง คือเรื่องอันเกี่ยวกับโลกุตตระ เหนือโลกหรือสิ่งสูงสุดของมนุษย์ นี้ตอนหนึ่ง ...... เรื่องที่ดี ๆ สำหรับไปตามโลก เป็นไปตามวิสัยโลกเราเรียกว่า ศีลธรรม ต้องทำให้ดีเหมือนกัน ทีนี้เรื่องที่ทำให้จิตใจอยู่เหนือโลก เหนือวิสัยโลก เหนือความบีบคั้นของโลก เหนือปัญหานานาชนิดในโลก นี้อย่างนี้เรียกว่า โลกุตตระ
การให้เกิดในทางวิญญาณนั้น หมายถึงการชักนำให้มีศีลธรรมดี และ ให้มีโลกุตตรธรรมดี, พูดกันอย่างง่าย ๆ ก็พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน, เอ้า,ชักนำให้อยู่ในโลกได้อย่างดีนี้ตอนหนึ่ง, แล้วชักนำให้อยู่เหนือโลกไปเสียเลย นี้อีกอย่างหนึ่ง หมายความว่า สอนให้รู้จักดำรงชีวิตอยู่ไปตามประสาโลก ที่นิยมเรียกกันว่า ดี : เป็นเด็กดี เป็นผัวดี เมียดี เป็นบิดาดี เป็นมารดาดี เป็นอะไรดี อยู่กันไปในโลกตามวิสัยโลก. นี้ก็เรียกว่าเรื่องทางวิญญาณด้วยเหมือนกัน แต่ยังเกี่ยวอยู่กับโลก ทีนี้มันยังมีดีไปกว่านั้นได้ คือว่า อยู่ในโลกนี้ถึงอย่างไร จะดีเท่าไร ก็ยังมีความทุกข์แน่นอน คนรู้อย่างโลก ๆ นี้ไม่ทำจิตใจให้สูงเหนือโลกไปได้ มันก็เที่ยวรักนั่น โกรธนี่ เกลียดนี่ กลัวโน่นอยู่ ไม่มีที่สิ้นสุดแหละ อยู่ในโลกมันเป็นอย่างนั้นเอง ก็เรียกว่าใช้ได้ แต่อย่างเป็นโลก ๆ ยังไม่พอ ยังไม่สูงสุด. นี้ก็มาสอนกันให้รู้เรื่องโลก ว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง, เรื่องโลกแล้วมันก็ต้องเป็นโลกอย่างนั้นเอง คือมันจะต้องมีความทุกข์นั่นแหละ พูดง่าย ๆ ถ้าไม่มีความทุกข์ เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ มันเป็นไปตามธรรมชาติ เช่นว่าเราไม่ได้ไปทำอะไรที่ไหน ขโมยก็มาขโมยเงินของเราไปหมด อย่างนี้เราจะมานั่งร้องไห้ให้โง่อยู่ทำไม แต่คนธรรมดาทนไม่ได้ ถูกขโมยเงินไปสักแสนสองแสน ล้านสองล้าน ก็มานั่งร้องไห้อยู่ คนธรรมดาก็เป็นอย่างนี้ หรือเป็นเรื่องธรรมดายิ่งขึ้นไปอีกว่า สามีตาย ภรรยาตาย เขาก็มานั่งร้อยไห้อยู่ เพราะไม่สามารถจะทำ-อะไรให้ดีกว่านั้นได้ แม่ลูกตายอย่างนี้ ก็อยากจะตายด้วยอย่างนี้ เพราะว่ายังมีความรู้สึกในระดับโลก

        ถ้ามีความรู้ที่เหนือโลก ก็ไม่ต้องมานั่งเป็นทุกข์อยู่ เพราะสิ่งเหล่านี้ จะมีอะไรได้ จะมีอะไรเสีย มีอะไรเป็น มีอะไรตาย มีอะไรขาดทุน มีอะไรกำไร มีอะไรแพ้ มีอะไรชนะ เขาก็ไม่เห็นว่าประหลาดอะไร เป็นของธรรมดาไปทั้งนั้น เพราะว่าเขามีหลักที่เป็นหัวใจของพระพุทะศาสนา คือ บทที่ว่า มันอย่างนั้นเอง . มันอย่างนั้นเอง ที่เรียกว่า ตถตา แปลว่ามันอย่างนั้นเอง มันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมดาอย่างนั้นเอง เรียกว่าธัมมนิยามตาหรือที่ละเอียด ก็เป็น อิทัปปัจจยตา มันมีเหตุปัจจัยของมันอย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น มองดูเป็นอยู่อย่างนี้ ก็ไมมีความทุกข์ร้อนอะไร แต่พร้อมกันนั้นก็ไม่มีความโง่ไปยินดี หลงใหล หัวเราะร่าเริง คือปกติอยู่ได้ ..... คนธรรมดา เมื่อได้กำไรก็กระโดดโลดเต้น นี่ขาดทุนก็นั่งร้องไห้อยู่ แต่คนที่ มีความรู้พระธรรมอันสูงสุดแล้วไม่เป็นอย่างนั้น ได้กำไรก็ว่าอย่างนั้นเอง จะทำต่อไปก็ทำให้มันดี ทำเสียใหม่ให้ถูกต้อง มันก็ไม่ขาดทุน นี้เรียกว่า ไม่มีอะไรที่มาทำให้จิตใจหวั่นไหวแปรปรวนยินดียินร้าย และไม่มีความทุกข์เพราะสิ่งใดในโลก นี่การเกิดในทางวิญญาณนั่นมันไปไม่ได้ไกลอย่างนี้......

              การเกิดทางร่างกาย มันก็หยุดอยู่แต่เพียงแค่ได้เป็นคน เป็นคนดีเท่านั้นเอง คนที่สมมติกันว่าดี อย่างนี้เรียกว่าดี ยิ่งสวย ยิ่งรวย ยิ่งอะไรด้วย ก็ยินดีแล้วมันก็ดีได้เพียงเท่านั้น ยังจะต้องหัวเราะ ยังจะต้องร้องไห้ สลับกันไปตามความเปลี่ยนแปลงในโลก เกิดในทางฝ่ายกายมันได้เพียงเท่านี้ ..... ทีนี้ เกิดทางฝ่ายจิต มันไปไกลกว่านั้น คือ จิตมันสูงขึ้นไป ๆ จนเป็นจิตที่ไม่รู้จักทุกข์ ทุกข์ไมเป็น ทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป การเกิดทางวิญญาณมันดีอย่างนี้ ..... พระพุทธเจ้าทรงเป็นบิดาทางวิญญาณจนถึงขั้นสุด พระพุทธเจ้าทรงเป็นบิดา ให้มีการเกิดทางวิญญาณ หรือว่าสืบพันธุ์ ใช้คำหยาบคายสักหน่อย ขออภัยว่า สืบพันธุ์ต่อ ๆ กันมา โดยพระสาวก ให้มีการเกิดทางวิญ่ญาณ ถูกต้องเรื่อย ๆ ไป ให้โลกนี้มันเป็นโลกของมนุษย์ที่สมชื่อ คือ มนุษย์ แปลว่า ผู้มีจิตใจสูง ... เกิดทางกายแล้ว ให้ได้เกิดทางวิญญาณด้วย ขอให้คนในโลกนี้ เป็นมนุษย์ โดยความมีจิตใจสูง อยู่เหนือกิเลส อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์กันต่อ ๆ ไปเถิด อย่าให้การเกิดแบบนี้มันสูญหายไปเสีย ให้มันคงอยู่ตลอดไป ... ส่วนการเกิด เกิดทางร่างกายนั้น เป็นเพียงพื้นฐานสำหรับให้ตั้งอยู่เพื่อการเกิดทางวิญญาณ ฉะนั้นเมื่อมีการเกิดทางร่างกายมาอย่างดีแล้ว ก็ให้ตั้งอยู่สำหรับเป็นพื้นฐาน สำหรับการเกิดในทางวิญญาณอีกต่อไป ..... ขอให้ทุกคนมีความรู้ความเข้าใจ มองเห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างนี้ ว่าเรามีการเกิดมาโดยทางร่างกายแล้ว เสร็จไปแล้ว เสร็จอยู่แล้ว ก็ ขอให้ได้มีการเกิดในทางวิญญาณ ทางจิตใจต่อไปอีก ให้จิตใจสว่างไสวแจ่มแจ้ง ดำเนินไปอย่างถูกต้องตามคลองของพระธรรม จะเรียกว่าตั้งต้นใหม่ทางจิตใจ แล้วก็เบิกบานออกไป จนกว่าจะถึงที่สุดของการเกิดทางวิญญาณ ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน จงอย่าเสียทีที่ได้เกิดมา เมื่อเกิดมาทางกายแล้ว ให้ได้เกิดทางจิตในทางวิญญาณต่อไปอีก จนถึงขั้นสุดท้าย มีจิตใจสุงอยู่เหนือปัญหาทุกอย่าง อยู่เหนือความทุกข์ทุกอย่าง เรียกว่ามีร่างกายกับจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่ระคนอยู่ด้วยกิเลสและความทุกข์อีกต่อไป ก็เรียกได้ว่า...ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ..... นี่เราเกิดมา เพื่อประพฤติกระทำ ฝึกฝน อบรม ทุกอย่าง ๆ เรื่อย ๆ ไป จนถึงขั้นที่ว่า มีร่างกายและจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่ระคนอยู่ด้วยกิเลส ไม่ระคนอยู่ด้วยความทุกข์อีกต่อไป ไปได้ถึงที่นั่นแหละ เรียกว่า ถึงที่สุด คือสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ......

ท่านกัลยาณธรรมและรัตนมิตรที่อีตาลุงเหมยเคารพทุกท่าน เราได้มาถึงตอนของการเกิดเป็นมนุษย์ โดย พระเดชพระคุณท่านพุทธทาสภิกขุแห่งสวนโมก ฯ แล้ว โปรดน้อมจิตกลับไประลึกถึงคำพูดของท่านในตอนแรกจนถึงปัจจุบัน กระทำจิตให้บังเกิดแสงสว่าง ให้เกิดความเข้าใจ และพร้อมกับจะรับฟังการบรรยายของท่านในตอนต่อไป...กราบทุกท่านด้วยความเคารพอีกครั้งครับ.....ลุงเหมย ครับ

หมายเลขบันทึก: 572578เขียนเมื่อ 16 กรกฎาคม 2014 09:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 กรกฎาคม 2014 09:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท