นนี้วันดี เป็นวันพระ
จึงขอถอดบทเรียนการปฏิบัติธรรมไว้ดังต่อไปนี้ หนอ
หลายปีก่อนผมได้เห็นคนต้นแบบท่านหนึ่ง
ตั้งอธิษฐานจิตไว้ประมาณว่า ท่านยังไม่ขอไปพระนิพพาน
แต่จะขอลงนรกแทน (ฟังถึงตรงนี้ผมถึงกับ อึ้งกิมกี่!)
แต่พอได้ทำความเข้าใจในรายละเอียดแล้วถึงได้เข้าใจว่า
ท่านปราถนาที่จะไปช่วยสั่งสอน สัตว์นรกทั้งหลายให้พ้นทุกข์
ในทางพุทธศาสนานั้น เชื่อเรื่อง 31 ภพภูมิ และเชื่อเรื่องการบำเพ็ญเพียรตามวิถีโพธิสัตว์
และยิ่งได้ศึกษา "ทศชาติ" หรือ 10 ชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก่อนการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
ยิ่งทำให้เห็นว่า หนทางสู่พระนิพพานนั้น ไม่ใกล้เลย หนอ
.
.
.
.
ถ้าจำไม่ผิด ปีนี้ย่างเข้าปีที่ 7 แล้ว
สำหรับการเพียรฝึกตนบนเส้นทางธรรมของผม
ถามว่า มาถูกทางไหม ?
ขอตอบว่า แต่ก่อนอาจตั้งคำถามกับตนเองตลอดมาว่า เรา "หลง" ธรรมะหรือปล่าว ?
แต่ตอนนี้มั่นใจแล้วครับว่า นี่คือ ทางสายเอก แห่งการเกิดเป็นมนุษย์ หนอ
.
.
.
.
ฝึกปฏิบัติธรรมอย่างไรบ้าง ?
.
ปีแรก ๆ นั้นฝึกธรรมะแบบเรียนหนังสือ คือ เน้นปริยัติ (อ่านและฟัง เป็นหลัก)
การเข้าสู่ทางธรรมนั้น เน้นเอาปัญญาทางโลก มาพิสูจน์ธรรมว่า
ทำไมคนไทยจึงหลงงมงายในธรรมนัก
ยิ่งพิสูจน์ ยิ่งพบความจริงที่ลึกลงไป ๆ ยิ่งขึ้น ไม่พบข้อผิดพลาดเลย
จะมีข้อผิดพลาดบ้าง เช่น พระสงฆ์ดื่มเหล้า เป็นต้น นั่นก็เพียงบางคนส่วนน้อย
ที่ท่านไม่มีบุญวาสนาเข้าถึงธรรมแท้ ๆ ได้ หนอ
ประมาณปีที่ 3 เมื่อปริยัติเริ่มได้บ้างแล้ว จึงหันมาปฏิบัติด้วยตนเอง
ไปหลากหลายสาย หลายสำนัก คำสอนตีกัน ขัดกันบ้าง
ตอนนั้นยังเน้น วิตก วิจารณ์ เถียงกับกัลยาณมิตร เพื่ออธิบายสิ่งที่ตนเข้าใจ ที่ตนเห็น
ปีที่ 4 ปีที่ 5 เริ่มสังเกตุเห็นว่า ที่เราเคยเห็น เราเคยเชื่อว่าตามทิฏฐิมานะ ของเรานั้น
พอเวลาผ่านมาบางอย่าง เราเข้าใจไม่หมด หรือมีบางอย่างที่ลึกกว่าที่เราเข้าใจ
จึงเริ่มเถียงธรรมะกับผู้อื่นน้อยลง และเริ่มเข้าใจว่า ณ ตอนนั้น คนนั้น เรานั้น มันเห็นได้เพียงแค่นั้น
เปรียบดั่งการขึ้นบันไดธรรม ถ้าเราอยู่ขั้น 2 ท่านเอาธรรมขั้น 5 มาอธิบายให้ฟัง
เราจะมีปัญญาสามารถเห็นหรือเข้าใจได้อย่างไร
หรือเปรียบดั่งเราเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำ ท่านเป็นกบที่เคยขึ้นไปบนบก
เราก็ถามตามกรอบของเราว่า เป็นอย่างไรบ้าง ? บกบกคลื่นแรงไหม ประมาณนั้น 555
เวลาต่อมาเราจะเริ่มเห็นว่า จริง ๆ แล้วทุกสาย ทุกวิถี มุ่งไปที่เดียวกัน คือ ยอดเขา
หรือพระนิพพาน แต่ความสามารถ กรรม หรือ จริตแต่ละกลุ่มแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิถีจึงต่างกันไป หนอ
.
.
.
.
ประมาณ 2 ปีให้หลังนี้ มีบุญวาสนา
ได้เข้าไปเรียนหลักสูตรครูสมาธิ ซึ่งเรียนทุกวันเสาร์-อาทิตย์
ทั้งภาคทฤษฎี สลับกับการเดินจงกรม นั่งสมาธิ เป็นเวลา 6 เดือน
เริ่มจากเทอมที่ 1 ปูพื้นฐาน เทอมที่ 2 สมาธิขั้นสูง เทอมที่ 3 วิปัสสนา
เมื่อเรียนครบเนื้อหาแล้ว จะมีการทดสอบภาคสนามด้วยการขึ้นธุดงค์บนดอยอินทนนท์
.
.
.
.
หลังจากลงจากธุดงค์บนดอยอินทนนน์ ซึ่งถือว่าเป็นการเรียนจบหลักสูตร "ครูสมาธิ"
ผมพบว่า ผมได้หลักการแนวทางปฏิบัติ ถือว่าเป็นศิษย์มีครู
(ลูกศิษย์ของพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินทโร)
.
.
.
ขอเล่าย้อนหลังกลับไปนิดหนึ่งครับว่า
จริง ๆ แล้ว กับยาณมิตรที่เรียนร่วมกันก็มีหลากหลาย
หลายท่านมีสังกัด มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาก่อนแล้วทั้งนั้น
และหลายท่านก็ปฏิบัติได้ขั้นสูงแล้วก็มี
การมาเรียนหลักสูตร ครูสมาธิ นั้น จึงเป็นการมาหาเพื่อนทางธรรมด้วย หนอ
.
.
.
ประสบการณ์ธรรม ณ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ฝึกถึงขั้นไหนแล้ว
.
หลังจากลงจากเดินธุดงค์บนดอย หรือ จบหลักสูตรครูสมาธิแล้วนั้น
ผมก็ได้นำแนวทางของหลักสูตรครูสมาธิมาเป็นแนวทางหลัก คือ
เน้นการทำสมาธิเพื่อสะสมพลังใจ และก็ใช้แนวทางอื่น ๆ ที่เคยฝึกมาเสริมตามโอกาส
.
หมายเหตุ - ภาพนี้ถ่ายที่ร้านอาหาร ตอนไปเชียร์บอลโลก ในวันที่พึ่งออกจากวัด ที่ชี้ให้เห็นว่า การทำสมาธินั้นเพื่อให้สามารถอยู่และทำงานกับโลกได้อย่างดียิ่งขึ้น หนอ
และเมื่อยิ่งได้มีบุญวาสนา เข้ารับการอบรมหลักสูตร "อาจริยสาสมาธิ" เพิ่มเติม
ยิ่งทำให้เราสามารถเชื่อธรรมะเข้าสู่วิถีชีวิตทางโลกได้ดียิ่งขึ้น ๆ
เข้าใจโลกมากขึ้น หนอ
สาธุๆครับ
มีเรียนทั่วประเทศ
รุ่นใหม่นี้รุ่นที่ 35 แล้วนะครับ