วันนี้ขณะที่เข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยมะเร็งตับที่มีการลุกลามของโรคไปที่กระดูก ผู้ป่วยเป็นพุทธศาสนิกชน ผู้ป่วยรับทราบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็ง
ภาพที่ไปพบ ผู้ป่วยนอนอยู่ในท่าตะแครงหลับตา มีสามีนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนเข้าไปหาผู้ป่วยมโนภาพของตัวเองคิดว่าจะพบ ผู้ป่วยที่ท้องโตๆ ตัวเหลืองตาเหลืองนอนหัวสูง หรือนั่งฟุบกับโต๊ะคร่อมเตียง แต่ผิดคลาดเพราะภาพ ที่พบผู้ป่วยห้องโตจริง แต่ไม่เหลืองแต่ขาวซีดๆจากการนอนนานแล้วไม่โดนแดดมากกว่า สามารถนอนราบได้ จึงเข้าไปแนะนำตัวทักทายจับมือผู้ป่วย สอบถามอาการเจ็บปวด ผู้ป่วยลืมตามอง แล้วก็หลับตาต่อเมื่อซักถามอะไรผู้ป่วยก็ตอบแต่ยังคงหลับตาจึงชวนพูดคุยไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาปัญหาผู้ป่วย ทั้ง ทาง ร่างกาย จิตใจ ครอบครัว และจิตวิญญาณ พบว่าผู้ป่วยมีปัญหาแต่ทางด้านร่างกายคือ อาการปวด
เมื่อเริ่มจับประเด็นปัญหาและจุดเด่นของผู้ป่วยได้
จึงเริ่มเยียวยาและเสริมพลังผู้ป่วยโดยใช้ เรื่องเล่า โดยการพูดคุยให้ผู้ป่วยเล่าความประทับใจในชีวิตที่ผ่านมาของผู้ป่วยซึ่งจากการพูดคุยที่ผ่านมาจับประเด็นได้ว่าสิ่งที่ทำให้
สิ่งที่ทำผู้ป่วยรู้สึกชีวิตมีความสุข และ มีความหมาย คือสามีและบุตรชาย
ขณะที่ชวนให้ผู้ป่วยพูดคุยทำให้ทราบว่าเหตุการณ์ที่ผู้ป่วยประทับใจคือ การเตรียมบวชลูกชาย ซึ่งผู้ป่วยใช้ ศัพท์ว่า บุญสะดุ้ง เพราะไม่คาดคิดว่าว่าลูกชายจะบวช ช่วงเล่าผู้ป่วยเริ่มหันหน้ามาพูดกับพยาบาลพูดไปยิ้มไปถึงจุดไหนที่ไม่คาดคิดว่าจะทำให้งานบวชสำเร็จผู้ป่วยก็จะยิ้มและบอกว่าไม่น่าเชื่อว่าจะสำเร็จได้ พยาบาลจึง ฟังอย่างตั้งใจยิ้มไปกับผู้ป่วย
หลังจากนั้นก็ถามถึงความห่วงกังวล ของผู้ป่วย
ผู้ป่วยบอกไม่ห่วงกังวลอะไรอีกแล้วบุญก็ทำมามากแล้ว ก่อนล้มป่วยไปทำวัตรเย็นนั่งสมาธิทุกวันที่วัดใกล้บ้าน ลูกชายคนโตที่อยู่ กรุงเทพก็ไปทำวัตรเย็น นั่งสมาธิแพร่ส่วนบุญมาให้เมื่อมีโอกาส ตอนนี้ไปวัดไม่ได้สามีก็ไปปฏิบัติแทนสำหรับตัวเองก็สวดมนตร์อยู่ที่บ้านทุกวันนี้ตนและสามีก็สวดมนตร์ทั้งเช้าและเย็น หลังสวดมนตร์ ก็จะแพร่เมตตาหลังจากนั้นผู้ป่วยก็สวดมนตร์แพร่เมตตาให้พยาบาลฟัง นอกจากนั้นยังมีโอกาสไปร่วมงานบวชพระได้จับชายผ้าเหลืองก่อนพระบวชใหม่เดินเข้าวิหารก็หลายรูปทำให้ผู้ป่วยเชื่อว่าถ้าตายต้องได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีจึงไม่กลัวตาย พยาบาลนั่งฟังอย่างตั้งใจ
ช่วงปวดผู้ป่วยเล่าว่า ปวดจนร้องไห้ปวดมาก จึงได้แนะนำให้ผู้ป่วยทดลองใช้วิธีหันเหความสนใจโดยขณะที่ปวดช่วงรอยาออกฤทธิ์ให้ผู้ป่วยตั้งจิตให้นิ่งพยายามวางร่างกายนี้ที่ปวด พร้อมกับระลึกถึงภาพ พระประธานวัดที่ไปสวดมนตร์ทุกเย็น (ผู้ป่วยบอกพระประธานสวยมาก) หลังจากนั้นให้สวดมนตร์ในขณะเดียวกันสามีก็ให้สวดมนตร์พร้อมไปกับผู้ป่วย
ปกติที่ผู้ป่วย ช่วงฝันร้าย ไม่อยากนอนต่อ ก็นอนสวดมนตร์ ทำสมาธิแพร่เมตตา สามีและลูกคนเล็ก ก็จะนั่งอยู่คนละข้างทำสมาธิให้ทำให้อุ่นใจสามารถนอนหลับต่อได้
ปกติอยู่ที่บ้านจะอาบน้ำที่แช่ ส้มปอยกับมะกรูดก่อนอาบก็จะนึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ สามีช่วยเสริมว่าเป็นความเชื่อว่าเป็นการไล่และป้องกันคุณไสย
ก่อนลากลับจึงถามถึงสิ่งที่ผู้ป่วยสั่งเสียไว้กับสามีและลูกๆมีอะไรบ้าง
ผู้ป่วยบอก ไม่ห่วงอะไรเลยไม่สั่งเสียอะไรแล้ว ถ้าตัวเองตายก็ไปอยู่อีกภพที่สบายจะได้ไม่ปวดทรมาน คนที่อยู่ก็ดำเนินชีวิตต่อไป พอผู้ป่วยพูดถึงตรงนี้สามีเริ่มตาแดงๆเอามือจับขาของผู้ป่วยเพื่อให้กำลังใจแล้วค่อยเดินไปเข้าห้องน้ำสักพักก็มาร่วมวงสนทนาต่อ
ทำให้พยาบาลได้เรียนรู้ว่าผู้ป่วยวางได้แล้วจริงๆไม่มีการสั่งอะไรไม่ห่วงอะไรเพราะทุกอย่างก็คงดำเนินได้เองเป็นไปตามธรรมชาติ
สิ่งที่ทำให้ผู้ป่วยเข้มแข็งต่อสู้กับโรคไม่กลัวตายเนื่องจากความรักของครอบครัว
ก่อนกลับ ผู้ป่วยบอก ขอขอบคุณพยาบาลมากที่มาแนะนำ
พยาบาลก็ขอขอบคุณผู้ป่วย ที่ทำให้ได้เรียนรู้หลายๆเรื่อง ได้ฟังเรื่องดีๆทำให้รู้สึกมีความสุขและขออนุญาตนำเรื่องผู้ป่วยไปยกตัวอย่างกรณีที่ได้สอนเรื่องการดูแลแบบประคับประคอง
ขอบคุณครับ ขอนำไปรวบรวมไว้ที่นี่ http://www.gotoknow.org/posts/567212
และคำถามเพื่อถอดเป็นบทเรียนนะครับ
พี่คิดว่า การที่ครอบครัวนี้เก็บสุขกลางทุ
อันนี้เป็นตัวอย่างคำตอบของบั
- ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ แล้วได้ทำจนสำเร็จ
- เข้าใจในธรรม ธรรมชาติ
- พลังแห่งความรัก
- การมองความทุกข์เป็นบทเรียน โอกาสพัฒนาตนเอง
- ต้องอาศัยเวลาและการเตรียมตัว
แล้วถ้าเราจะเตรียมตัวเพื่