ระหว่างที่เนลสัน แมนเดล่าติดคุกอยู่นั้น ได้มีการเรียกร้องให้ปล่อยเนลสันอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับระยะนั้น กระแสการลดปัญหาเรื่องสีผิว ก็กำลังกระจายไปทั่วหลายประเทศ นับเป็นจุดแห่งการเริ่มต้น ที่มีนิมิตหมายอันดี ปี ค.ศ. 1990 ประธานาธิบดี เฟรเดอริก วิลเลม เดอ เคลิร์ก ของแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นคนผิวขาว ได้ริเริ่มการเจรจาเพื่อยุติปัญหาการเหยียดผิว ในปีนั้น เนลสันก็ได้รับการปล่อยตัว และเริ่มต้นการต่อสู้ครั้งต่อไป เขาประกาศยังจะคงใช้กำลังติดอาวุธและความรุนแรงเอาไว้ แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มใช้วิธีการเจรจากับรัฐบาลผู้ปกครองผิวขาวไปด้วย ช่วงนั้นนับว่าประชาชนแอฟริการกำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวซึ่งกันและกัน คนผิวขาวก็กลัวการสูญเสียอำนาจ เพราะมีจำนวนคนน้อยกว่า แม้จะตั้งกฎเกณฑ์กดขี่ และสร้างความไม่เท่าเทียมแห่งชนชั้นไว้ต่างๆนานาก็ตาม แต่ขณะนั้นสังคมโลกเริ่มเปลี่ยนแปลง การสนับสนุนให้สิทธิเสรีภาพยกระดับคนผิวดำ ให้มีความเสมอภาคเท่าคนผิวขาวก็มาแรง ที่สำคัญประชากรผิวดำมีจำนวนมากมายกว่ามาก เนสันกำลังเป็นผู้นำคนผิวดำ ที่มีชื่อเสียง มีอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด ก็มีการให้มีการเลือกตั้งแบบหลากชนชาติภายใต้ระบบประชาธิปไตยเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1994ในแอฟริกา และผู้ที่ได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกในระบอบประชาธิปไตยก็คือ เนลสัน แมนเดล่านั่นเอง
(ภาพจากบันทึกแอฟริกาใต้-ดินแดนสีรุ้ง)
ชัยชนะของคนผิวดำ สร้างความฮึกเฮิมให้ชนเผ่าพื้นเมืองแอฟริกายิ่งนัก ทำให้เกิดความหวั่นไหวต่อคนผิวขาวมากขึ้นไปอีก ที่เคยอยู่เหนือกว่ามาตลอด และเกิดความไม่ไว้วางใจกันหลายประการ แม้จะมีการตั้งคณะรัฐบาลจากชนทุกชาติพันธุ์ในแอฟรกาก็ตาม แต่เนลสันก็รับรู้ถึงรอยร้าวนี้เป็นอย่่างดี เขาเริ่มให้คนผิวดำได้รับสิทธิต่างๆ การจัดแบ่งพื้นที่ทำกินและอยู่อาศัย การใช้สถานที่ต่างๆร่วมกัน การให้การศึกษาเสมอภาคกัน ยิ่งคุณภาพชีวิตของคนผิวดำดีขึ้นมากเท่าไร ก็ดูเหมือนคนผิวขาวจะอยู่ห่างพวกเขาออกไปทุกที
(ภาพจากGoogle ขวามือคือเนสัน แมนเดล่า )
เนสัน เข้าใจถึงการความรู้สึกแปลกใหม่ของคนทั้งสองกลุ่มอย่างลึกซึ้ง การที่จะให้บังเกิดการยอมรับต่อกันนั้นไม่ง่ายเลย เขาจึงเริ่มที่ตัวเขาก่อน เนลสันจะแสดงความอ่อนน้อมให้เกียรติชนผิวขาว แสดงความนับถือด้วยใจจริง ไม่ถือตนข่มท่าน เมื่อชาวผิวดำเห็นตัวอย่างเช่นนั้น ต่างก็ปรับปรุงตัวเองลดความรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายชนะ เป็นชนส่วนใหญ่ที่มีอำนาจทัดเทียม และลดความรู้สึกโกรธแค้น เอาคืนต่อคนผิวขาวลง มีท่าทีเป็นมิตร ความผ่อนคลายและสมานฉันท์ค่อยๆบังเกิดขึ้น เนสันเริ่มรู้สึกว่า มนุษย์นั้นล้วนเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แม้จะต่างสีผิว การที่เขาต่อสู้กันมาก่อนราวกับศัตรู เมื่อได้ชัยชนะ แต่ก็ยังไม่สามารถครองใจปกครองคนได้ทั้งหมด เขายังมีความพ่ายแพ้แฝงอยู่ในความรู้สึกตลอดมา จนกระทั้งเขาได้เอาชนะใจตนเองได้ ด้วยการข้ามผ่านความรู้สึกแบ่งแยก โกรธแค้นในใจจนสำเร็จ จึงเหลือแต่ความรัก เมตตาต่อกัน ที่พร้อมจะแผ่ขยายออกไป ออกไป จนสามารถค่อยๆซึมซับเข้าไปในความรู้สึกของทุกคนให้ดีขึ้น
ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ที่ทำให้เนสัลครองใจและประสานรอยร้าวของคนในชาติได้ แต่ยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่นับว่าทำให้เนสัลเป็นที่รัก และได้รับชัยชนะอย่าแทัจริง จากใจของประชาชนของเขา
วันนี้จะเล่าต่อก็ดึกไปหน่อยนะคะ รอบันทึกต่อไปนะคะ
นักการเมืองบ้านเราพยายามยกตัวเองเทียบแมนเดล่า แต่ไม่ติดฝุ่นค่ะ เพราะแค่คิดแบ่งแยกคนก็ผิดแล้ว
คุณค่าความเป็นคน
สูงส่งสักแค่ไหน
ต้อยต่ำสักปานใด
ล้วนอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน
การข้ามผ่านความรู้สึกแบ่งแยก โกรธแค้นในใจจนสำเร็จ จึงเหลือแต่ความรัก เมตตาต่อกัน ....
เมื่อไหร่เมืองไทย จะเป็นเช่นนี้บ้างค่ะ
สวัสดีค่ะคุณnui
การเอาชนะด้วยการสร้างความแบ่งแยกไม่ยั่งยืนเลยค่ะ
บางทีประสบการณ์ก็จะสอนให้ได้เรียนรู้ความเจ็บปวดของการกระทำและถูกกระทำจากฝ่ายตรงข้ามนะคะ
ประทับใจท่านเนสัล แมเดล่ามากค่ะ
สวัสดีค่ะอ.แผ่นดิน
เชื่อว่าคนที่ได้พบเจอกัน
ได้มาอยู่ร่วมกันนั้น
สักวันก็ต้องได้พึงพาอาศัยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้จะมีความเห็นความเชื่อต่างกันก็ตามค่ะ
..กลอนไพเราะและมีความหมายมากค่ะ
สวัสดีค่ะพี่ Dr.Ple
เมื่อเกิดความสมดุลย์ ที่ยุติธรรม
ซึ่งเชื่อว่ามันจะเกิดในใจของผู้ที่รักสันติสุขค่ะพี่
เพราะความขัดแย้งมีกำลังมากทำให้เป็นทุกข์สาหัสทั้งสองฝ่าย
ก้าวพ้นเมื่อใดจะพบกับความสงบเย็นเอง
ใครทำใครได้นะคะพี่