ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หมายถึงคุณค่าเฉพาะบางอย่างที่มนุษย์ทุกคนต่างเป็นเจ้าของ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ซึ่งได้บัญญัติรับรองไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อที่1ว่า “มนุษย์ทั้งปวงเกิดมามีอิสระและเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีและสิทธิ ต่างในตนมีเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันด้วยจิตวิญญาณแห่งภราดรภาพ” กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนควรเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เพราะทุกคนเกิดมาเสมอภาคกัน แม้กระทั่งคนเข้าเมืองผิดกฎหมายหรือคนพิการก็ย่อมมีสิทธิ และเสรีภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป ซึ่งก็ต้องให้ความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์โดยไม่เลือกปฎิบัติหรือแบ่งแยกในความแตกต่างระหว่าง เชื้อชาติ เพศ ภาษาใดๆทั้งสิ้น
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ปี 2540 และ ปี 2550 มาตรา 4 “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง” มาตรา 26 “การใช้อำนาจ โดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” มาตรา 28 “บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิ และเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือ ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน”
ดังนั้น ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จึงเป็นคำที่อธิบายความหมายของสิทธิมนุษยชน ในแง่ของการให้คุณค่าแก่ความเป็นคนว่า คนทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นหลักการสำคัญของสิทธิมนุษยชนที่กำหนดสิทธิที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ใครจะละเมิดไม่ได้ และไม่สามารถ่ายโอนให้แก่กันได้ สิทธินี้คือสิทธิในการมีชีวิตและมีความมั่นคงในการมีชีวิตอยู่ คนทุกคนที่เกิดมาบนโลกมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดังนั้นการปฏิบัติต่อกันของผู้คนในสังคมจึงต้องเคารพความเป็นมนุษย์ ห้ามทำร้ายร่างกาย ทรมานอย่างโหดร้าย หรือกระทำการใดๆ ที่ถือเป็นการเหยียดหยามความเป็นมนุษย์
รณีศึกษาของน้องนิค หรือนายนิวัฒน์ จันทร์คำ เกิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2538 ที่ประเทศเมียนมาร์ โดยโดยมารดาของน้องนิคเป็นคนไทยลื้อไร้รัฐไร้สัญชาติ และน้องนิคไม่มีหนังสือรับรองการเกิด หรือมีชื่อในทะเบียนประวัติใดๆ น้องนิคจึงเป็นบุคคลผู้ไร้รัฐโดยสิ้นเชิง ขณะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยพร้อมกับบิดามารดาโดยที่ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใดๆทั้งสิ้น ทั้งสามคนจึงตกอยู่ในสถานะเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามไม่อาจถือได้ว่าน้องนิคมีสถานะเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายตามบิดามารดา เพราะในขณะที่เข้าเมืองมานั้น น้องนิคมีอายุเพียง 3-4 ขวบ จึงขาดเจตนาที่จะเข้าเมืองผิดกฎหมาย
เมื่อน้องนิคเข้ามาอาศัยอยู่กับป้าที่จังหวัดตรัง โดยป้าเกรงว่าน้องนิคจะไม่ได้รับสิทธิทางการศึกษาเนื่องจากน้องเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติ จึงใช้เอกสารของบุตรตนเองแทนเพื่อให้น้องนิคมีโอกาสได้รับการศึกษา ซึ่งแท้จริงแล้วสิทธิทางการศึกษาเป็นสิทธิที่มนุษย์ทุกคนพึ่งได้รับ ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตามหรือแม้กระทั่งคนไร้สัญชาติก็ย่อมเป็นผู้ทรงสิทธิ ดังที่บัญญัติรับรองไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 26 ที่บัญญัติว่า “ทุกคนมีสิทธิในการศึกษา การศึกษาจะต้องให้เปล่าอย่างน้อยในขั้นประถมศึกษาและขั้นพื้นฐาน การศึกษาระดับประถมจะต้องเป็นภาคบังคับ การศึกษาด้านวิชาการและวิชาชีพจะต้องเปิดเป็นการทั่วไป และการศึกษาระดับสูงขึ้นไปจะต้องเข้าถึงได้อย่างเสมอภาคสําหรับทุกคนบนพื้นฐานของคุณสมบัติความเหมาะสม”
อีกทั้งยังมีปรากฏในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 ก็มีบทบัญญัติที่รับรองสิทธิในการศึกษาเช่นเดียวกัน ดังที่ปรากฏในมาตรา 10 วรรค 1 ที่บัญญัติว่า“การจัดการศึกษา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย”
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดก็ตาม ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งย่อมได้รับสิทธิในการศึกษาซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามที่มนุษย์คนหนึ่งพึ่งมีพึ่งได้รับดังที่ได้มีการรับรองไว้ในหลักกฎหมายดังกล่าว
อ้างอิง
ปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน,สืบค้นเมื่อ 18พฤษภาคม,ปี2557 http://www.mfa.go.th/humanrights/images/stories/book.pdf
ไม่มีความเห็น