ปัญหาสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยที่เชื่อมต่อสังคมโลก

       ในปัจจุบันข่าวที่มีความเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นมาก แต่ข่าวที่ทุกคนเคยได้ยิน ได้แก่ มีชาวโรฮิงญาอพยพมาประเทศไทย โดยชาวโรฮิงญานั้นมาจากประเทศเมียนมาร์ รัฐยะไข่ นับถือศาสนาอิสลามแต่ประเทศเมียนมาร์ส่วนมากจะนับถือศาสนาพุทธ จึงถูกปฏิเสธสัญชาติเมียนมาร์ และอีกเหตุผลที่ชาวโรฮิงญามีความแตกต่าง เพราะเดิมรัฐยะไข่ ชื่อรัฐอะละกัน อยู่ในความปกครองของประเทศอังกฤษ แต่พอรัฐอะละกันอิสระ ประเทศเมียนมาร์จึงเอารัฐอะละกันมาเป็นอาณาเขตด้วย

        เมื่อมีความแตกต่างทั้งทางด้านชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา ชาวโรฮิงญาจึงอยากจะแยกตัวอิสระ มีการติดอาวุธสู้รบกัน และรัฐบาลเมียนมาร์จะคุมกำเนิดชาวโรฮิงญาไม่ให้สืบต่อไป อีกทั้งมีการหลอกเอาเอกสารของชาวโรฮิงญาไปเพื่อที่จะอ้างว่าไม่มีเอกสาร ไล่ออกจากประเทศ จึงมีชาวโรฮิงญาบางส่วนล่องเรืออพยพมาประเทศไทยที่จังหวัดระนอง เมื่อชาวโรฮิงญาหนีภัยการสู้รบมาจากรัฐของตนเอง ชาวโรฮิงญาจึงเป็นผู้ลี้ภัย แต่ประเทศไทยมิได้เป็นภาคีของอนุสัญญาผู้ลี้ภัยจึงเรียกว่าคนหนีภัยความตาย

        ชาวโรฮิงญาเป็นผู้ที่ถูกประเทศเมียนมาร์ละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งกรณีที่ไม่รับรองสัญชาติเมียนมาร์ ทั้งๆที่มีจุดเกาะเกี่ยวตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 15 (1) ทุกคนมีสิทธิในสัญชาติหนึ่ง[1] รัฐบาลเมียนมาร์จะอ้างว่านับถือคนละศาสนาไม่ได้เพราะมนุษย์ย่อมมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา และการคุมกำเนิดและหลอกเอาเอกสารไปก็เป็นการที่รัฐเมียนมาร์ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวโรฮิงญาด้วย ตามข้อ 16 (1) บรรดาชายและหญิงที่มีอายุครบ บริบูรณ์แล้ว มีสิทธิที่จะสมรสและก่อร่างสร้างครอบครัวโดยปราศจากการจำกัดใด อันเนื่องจากเชื้อชาติ สัญชาติ หรือศาสนา ต่างย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกันในการสมรส ระหว่างการสมรส และในการขาดจากการสมรส[2]

        เมื่อชาวโรฮิงญาหนีภัยมาประเทศไทย ก็กลายเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายเพราะไม่มีเอกสารรับรอง ชาวโรฮิงญาก็จะถูกจับตามกฎหมายคนเข้าเมือง แต่ในเมื่อชาวโรฮิงญาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ประเทศไทยจึงต้องปฏิบัติต่อชาวโรฮิงญาอย่างเช่นเขาเป็นมนุษย์ มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับคนเชื้อชาติอื่นๆตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 6 ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับทุกแห่งหนว่าเป็นบุคคลตามกฎหมาย[3] เนื่องจากชาวโรฮิงญาถูกปฏิเสธสัญชาติเมียนมาร์จึงไม่รัฐเจ้าของตัวบุคคลให้ความคุ้มครองกับเขา ทำให้เขาอาจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ง่ายมาก เช่น การขายโรฮิงญาเพราะเห็นเป็นเพียงสิ่งของ จะฆ่าให้ตายหรือเอาเป็นทาสก็ไม่มีรัฐเจ้าของบุคคลมาให้ความคุ้มครองแก่เขาเหล่านี้ก็เป็นการที่โรฮิงญาถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

        อีกทั้งเมื่อชาวโรฮิงญาเข้ามาในประเทศไทยก็จะมีสิทธิต่างๆ เช่น สิทธิในการศึกษา สิทธิในการทำงาน สิทธิในทรัพย์สิน ซึ่งสิทธิเหล่านี้เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนมีตามที่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนรับรองไว้ หากประเทศไทย หน่วยงานรัฐ เอกชนหรือองค์กรใด ปฏิเสธไม่ให้สิทธิเหล่านี้โดยให้เหตุผลว่าเขาเป็นโรฮิงญาก็จะขัดปฏิญญาฯ ข้อ 2ทุกคนย่อมมีสิทธิและอิสรภาพทั้งปวง ตามที่กำหนดไว้ในปฏิญญานี้ โดยปราศจากการแบ่งแยกไม่ว่าชนิดใด อาทิ เชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือ ทางอื่น พื้นเพทางชาติหรือสังคม ทรัพย์สิน การเกิด หรือสถานะอื่น[4] และขัดกับอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (CERD)[5]

        การแก้ปัญหาโรฮิงญาในประเทศไทย เนื่องจากมีข้อมูลว่าประเทศไทยขาดแคลนแรงงาน จึงควรนำโรฮิงญามาฝึกฝนและแปลงเป็นแรงงานได้เป็นการลดภาระของประเทศและส่งเสริมการประกอบธุรกิจด้วย

       ถ้าหากประเทศไทยกดขี่คนประเทศอื่นมากๆ ก็อาจจะเกิดความเกลียดชัง มีโอกาสเกิดเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆได้ง่ายขึ้น อีกทั้งเมื่อคนไทยไปอยู่ในประเทศของเขาก็อาจจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน และอาจเกิดเป็นปัญหาระหว่างประเทศสู่สังคมโลกในที่สุด

---

[1] กระทรวงการต่างประเทศ.ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน.[ออนไลน์]. http://www.mfa.go.th/humanrights/images/stories/book.pdf. วันที่ 18 พฤษภาคม 2557

[2] เรื่องเดียวกัน

[3] เรื่องเดียวกัน

[4] เรื่องเดียวกัน

[5]กระทรวงการต่างประเทศ.ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน.[ออนไลน์]. http://www.mfa.go.th/humanrights/images/stories/cerdt.pdf.วันที่ 18 พฤษภาคม 2557