กฎหมายไทยว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย


          กฎหมาย เป็นระบบของกฎและแนวทางปฏิบัติซึ่งบังคับใช้ผ่านสถาบันทางสังคมเพื่อควบคุมพฤติกรรม ในทุกที่ที่เป็นไปได้[1] ทุกสังคมย่อมต้องมีกฎหมาย เพื่อรักความสงบเรียบร้อย ในประเทศไทยก็มีกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้แก่คนในสังคมไทย

         โทษประหารชีวิต

ประเทศไทยปรากฏว่ามีกฎหมายในหลายฉบับที่บางครั้งส่งผลในด้านลบกระทบต่อสิทธิมนุษยชน ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างประการแรกคือ โทษทางอาญา เป็นที่รู้กันว่า การกระทำความผิดทางอาญานั้นแตกต่างไปจากทางแพ่งเนื่องจาก ประมวลกฎหมายอาญาได้มีการบัญญัติถึงขั้นตอนและวิธีในการลงโทษผู้กระทำเอาไว้ เพราะการกระทำความผิดทางอาญาส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งโทษทางอาญา ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติเอาไว้ 5 ประการ อันได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และ ริบทรัพย์ ซึ่งจะเห็นได้ความระดับของความรุนแรงในโทษจะไล่ลงมาเรื่อยๆ ในที่นี้ข้าพเจ้าจะขอเจาะเฉพาะในส่วยโทษ ประหารชีวิต อันเป็นโทษอันเป็นการกำจัดผู้กระทำความผิดออกไปจากสังคมที่รุนแรงที่สุด

โทษประหารชีวิตถูกบัญญัติเอาไว้เฉพาะการกระทำความผิดร้ายแรงเท่านั้น อาทิเช่น การก่อการร้าย การฆ่าผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งหากมาพิเคราะห์ถึงความรุนแรงในการลงโทษประหารชีวิตผู้ต้องหาในคดีต่างๆ หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งที่ผู้กระทำความผิดจะต้องรับโทษตาย เพราะความผิดที่ได้ทำไว้ร้ายแรงมาก ไม่สมควรที่ผู้นั้นจะมีชีวิตต่อไป ไม่ว่าด้วยเหตุผลเพื่อไม่ให้ไปกระทำความผิดนั้นซ้ำอีก หรือไม่ว่าเพราะเป็นการชดใช้แก่ผู้สูญเสีย ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใดก็เป็นประเด็นน่าคิดว่าการประหารชีวิตบุคคลนั้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ คำตอบของคำถามนี้ อาจะเป็นได้ทั้งสองทางคือ ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และ ละเมิดสิทธิมนุษยชน

ความเห็นที่ว่าการประหารชีวิตผู้กระทำความผิด ไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น มีการให้เหตุผลสนับสนุนโดยอาศัยทฤษฎี 2 ทฤษฎี มาอธิบาย ทฤษฎีแรกคือ ทฤษฎีทดแทน ซึ่งเป็นทฤษฎีที่นำแนวคิดในเรื่องการแก้แค้นซึ่งเป็นความคิดดั้งเดิมของมนุษยชาติมาผสมกับหลักความยุติธรรมในปัจจุบันโดยเสนอว่าเป็นการลงโทษเพื่อทดแทนความเสียหายแก่ผู้เสียหาย เพื่อให้เกิดความพึงพอใจ และเพื่อเป็นการน้ำให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายโดยถือว่าเป็นหนี้ที่ต้องชดใช้ที่แตกต่างจากหนี้ทางแพ่ง ส่วนทฤษฎีที่สอง คือ ทฤษฎีอรรถประโยชน์ มาอธิบายถึงผลประโยชน์ที่ว่าเป็นการตัดโอกาสมิให้ผู้กระทำความนั้นซ้ำอีก อย่างไรก็ตามทฤษฎีทั้งสองมามีจุดที่อธิบายถึงช่องโหว่ของโทษประหารเฉกเช่นกัน ซึ่งจะขออธิบายในส่วนความเห็นที่ต่อไป[2]

แนวคิดสิทธิมนุษยชนกับโทษประหารชีวิต ประกอบด้วย

1. ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ( Universal Declaration of Human Rights )

ที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติ ( Moratorium )ได้ให้การรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ตามข้อมติที่217 A (III) ประเทศไทยได้ออกเสียงสนับสนุนปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่10 ธันวาคม 2491 ซึ่งถือเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ในการวางรากฐานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่าง ประเทศฉบับแรกของโลกและเป็นพื่นฐานของกฎหมาย

ระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับที่มีอยู่ในปัจจุบัน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนถือเป็นมาตรฐานที่ประเทศสมาชิกสหประชาชาติที่ ได้ร่วมกันจัดทําเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนทั่วโลก

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนจึงเป็นการประกาศเจตนารมณ์ในการรับรอง สิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์และเป็นเอกสารหลักด้านสิทธิมนุษยชนของประชาคมโลก

ในประเด็นเรื่อง โทษประหารชีวิต มาตราที่เกี่ยวข้องคือ

ข้อ 1 มนุษย์ทั้งหลายเกิดมามีอิสระและเสมอภาคกันในเกียรติศักดืและสิทธิต่างมี เหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันด้วยเจตนารมณ์แห่งภราดรภาพ

ข้อ 3 คนทุกคนมีสิทธิในการดํารงชีวิตเสรีภาพและความมั่นคงแห่งตัวตน

ข้อ 5 บุคคลใดๆ จะถูกทรมานหรือได้รับผลปฏิบัติ หรือการลงโทษที่โหดร้ายผิด

มนุษยธรรม หรือต่ำช้ามิได้

จากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงข้อตกลงระหว่างประเทศที่จะต้องให้ความสําคัญ ต่อสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะการเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานในการมีชีวิตของมนุษย์ ซึ่งการประหารชีวิตถือเป็นการปฏิบัติต่อผู้กระทําผิดที่เป็นการละเมิดสิทธิ ขั้นพื้นฐานในการมีชีวิตของมนุษย์

ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรมีการยกเลิกโทษประหารชีวิต เพื่อเป็นการแสดงถึงการปฏิบัติตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและเป็นการ แสดงออกถึงการให้ความสําคัญต่อการเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในประเทศ เป็นสําคัญ

2. พิธีสารเลือกรับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง ( International Covenant on Civil and Political Rights :ICCPR )

สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้รับรองกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง เมื่อวันที่16 ธันวาคม 2509 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่23 มีนาคม 2519 โดยกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมืองประกอบด้วยวรรคอารัมภบทและบทบัญญัติ 53 ข้อและแบ่งออกเป็ น 6 ส่วน

ประเทศไทยได้เข้าได้เข้าเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง โดยการภาคยานุวัติ เมื่อวันที่27 ตุลาคม 2539 โดยมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยเมื่อวันที่30 มกราคม 2540

กติกาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการมีชีวิตคือ

ข้อ 3 รัฐภาคีแห่งกติกานี้รับที่จะประกันสิทธิอันเท่าเทียมกันของบุรุษและสตรีใน การที่จะอุปโภคสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมืองทั้งปวงดังที่ได้ระบุไว้ในกติกานี้

ข้อ 5 ไม่มีความใดในกติกานี้ที่อาจนําไปตีความไปในทางที่จะให้รัฐใด กลุ่ม หรือบุคคลใดได้สิทธิที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรม หรือกระทําการใดอันมีจุดมุ่งหมายในการทําลายสิทธิและเสรีภาพประการใดที่ รับรองไว้ในกติกานี้หรือเป็นการจํากัดสิทธินั้นยิ่งไปกว่าที่ได้บัญญัติไว้ ในกติกานี้จะต้องไม่มีการจํากัดหรือเลี่ยงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ได้รับ การรับรอง หรืออาจมีอยู่ในรัฐภาคีใดในกติกานี้ซึ้งเป็นไปตามกฎหมาย อนุสัญญากฎระเบียบ หรือจารีตประเพณีโดยอ้างว่ากติกานี้ไม่รับรองสิทธิที่ว่าเช่นนั้น หรือรับรองสิทธินั้นในระดับที่ด้อยกว่า

ข้อ 6 มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตมาแต่กําเนิด สิทธินี้ต้องได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายบุคคลจะต้องไม่ถูกทําให้เสียชีวิต โดยอําเภอใจ

ในประเทศที่ยังมิได้ยกเลิกโทษประหารชีวิต การลงโทษประหารชีวิตอาจจะกระทําได้เฉพาะคดีอุกฉกรรจ์ที่สุดตามกฎหมายที่ใช้ บังคับในขณะกระทําความผิด และไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกติกานี้และต่ออนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและการลง โทษอาชญากรรมการล้างเผ่าพันธุ์ การลงโทษเช่นว่านี้จะกระทําได้ก็แต่โดยคําพิพากษาถึงที่สุดของศาลที่มีอํานา จ

ในกรณีที่การทําให้เสียชีวิตมีลักษณะเป็นอาชญากรรมล้างเผ่าพันธุ์ ย่อมเป็นที่เข้าใจว่าข้อนี้มิได้ให้อํานาจรัฐภาคีใดแห่งกติกานี้ในอันที่จะ เลี่ยงจากพันธกรณีใดที่มีตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและการ ลงโทษอาชญากรรมล้างเผ่าพันธุ์

บุคคลใดต้องคําพิพากษาประหารชีวิต ย่อมมีสิทธิขออภัยโทษหรือลดหย่อนผ่อนโทษตามคําพิพากษาการนิรโทษกรรม การอภัยโทษตามคําพิพากษาประหารชีวิตอาจให้ได้ในทุกกรณี

บุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่จะกระทําความผิดจะถูกพิพากษาประหารชีวิตมิได้และจะดําเนินการประหารชีวิตสตรีขณะมีครรภ์ไม่ได้

รัฐภาคีใดแห่งกติกานี้จะยกเว้นข้อนี้เพื่ออ้างประวิง หรือขัดขวางการยกเลิกโทษประหารชีวิตไม่ได้

ข้อ 7. บุคคลจะถูกทรมาน หรือ ได้รับการปฏิบัติ หรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือต่ำช้ามิได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลจะถูกใช้ในการทดลองทางการแพทย์ หรือทางวิทยาศาสตร์โดนปราศจากความยินยอมอย่างเสรีของบุคคลนั้นมิได้

ข้อ 9. บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยของร่างกายของบุคคลจะถูกจับกุม หรือควบคุมโดยอําเภอใจไม่ได้ บุคคลจะถูกลิดรอนเสรีภาพของตนมิได้ ยกเว้นโดยเหตุและโดยเป็นไปตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย

จากการที่ประเทศไทยได้เข้าได้เข้าเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ พลเมือง โดยข้อกําหนดสิทธิทางการเมืองจากข้อกําหนดของพิธีสารเลือกรับกติการะหว่าง ประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง ( International Covenant on Civil and Political Rights:ICCPR ) มีข้อกําหนดที่สําคัญต่อการเคารพสิทธิเสรีภาพและความปลอดภัยของพลเมืองในประ เทศเป็นสําคัญ ซึ่งประเทศไทยได้มีการปฏิบัติตามข้อกําหนดของพิธีสารดังกล่าวในประเด็นที่ เกี่ยวข้องกับการยกเลิกโทษประหารชีวิตสําหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และสตรีผู้ที่ตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามปัจจุบันประเทศไทยยังคงใช้โทษประหารชีวิตซึ่งอาจแสดงให้เห็นถึง การปฏิบัติต่อผู้กระทําผิดที่ยังคงมีการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพในการมี ชีวิต อันแสดงให้เห็นถึงการไม่ปฏิบัติตามพิธีสารพิธีสารเลือกรับกติการะหว่าง ประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง ( InternationalCovenant on Civil and Political Rights :ICCPR ) ทั้งหมด หากแต่มีการเลือกปฏิบัติในประเด็นที่ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามได้ ซึ่งหากประเทศไทยมีการยกเลิกโทษประหารชีวิตได้อย่างแท้จริง จะทําให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามกฎกติการะหว่างประเทศที่ให้ความคุ้มครอง ต่อสิทธิในการมีชีวิตของประชาชนในประเทศเป็นสําคัญ

3. พิธีสารเลือกรับฉบับที่สองแห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง

และสิทธิทางการเมือง ( Second Optional Protocol to the International Covenant on Civil and Political Rights )

พิธีสารฉบับนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ พลเมืองและสิทธิทางการเมือง แม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่ได้เป็นภาคีฉบับที่สองนี้แต่เนื่องจากประเทศไทยได้ เป็นภาคีแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2539 จึงควรพิจารณาถึงสาระของพิธีสารซึ่ง เห็นว่าข้อ 6 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กล่าวถึงการยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยเสนอแนะอย่างจริงจังว่าการยกเลิกนี้เป็นสิ่งอันพึงปรารถนา จึงเชื่อมั่นว่ามาตรการทั้งมวลในการยกเลิกโทษประหารชีวิต จะต้องถือเป็นความก้าวหน้าในการมีสิทธิที่จะมีชีวิต และมุ่งมั่นที่จะดําเนินการเพื่อปฏิบัติตามข้อผูกพันระหว่างประเทศ ในการยกเลิกโทษประหารชีวิต พิธีสารกําหนดว่า

ข้อ 1 ไม่มีบุคคลใดที่อยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายของรัฐภาคีในพิธีสารฉบับนี้จะ ถูกประหารชีวิตได้ รัฐภาคีแต่ละรัฐต้องดําเนินมาตรการที่จําเป็นทุกอย่าง เพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิตภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายของตน

ข้อ 2 พิธีสารฉบับนี้ไม่ยอมรับข้อสงวนใดๆยกเว้นข้อสงวนที่กระทําในเวลาสัตยาบัน หรือเมื่อเข้าภาคยานุวัติซึ่งเปิดโอกาสให้ใช้บทลงโทษประหารชีวิตระหว่างสง ครามตามคําพิพากษาคดีอาญาร้ายแรงที่สุดทางทหารที่กระทําในระหว่างสงคราม

พิธีสารเลือกรับฉบับที่สองแห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง ( Second Optional Protocol to the International Covenant on Civil and PoliticalRights ) มีวัตถุประสงค์สําคัญที่ต้องการให้ประเทศต่าง ๆ มีการยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยกําหนดให้เมื่อประเทศสมาชิกได้มีการลงนามแล้ว จะต้องไม่มีการลงโทษประหารชีวิตในประเทศดังกล่าวสําหรับอาชญากรรมร้ายแรง ทั่วไป ( Ordinary Crime ) ทุกประเภทคดี หากแต่สามารถใช้โทษประหารชีวิตสําหรับอาชญากรรมร้ายแรง (Most Serious Crime ) ระหว่างสงครามตามคําพิพากษาคดีอาญาร้ายแรงทางทหารที่กระทําในระหว่างสงคราม โดยมีพฤติกรรมการกระทําผิดที่ละเมิดต่อความมั่นคงของประเทศและความสงบเรียบ ร้อยของสังคม การละเมิดกฎอัยการศึก หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาที่ร้ายแรงทางทหารในขณะเกิดภาวะสงคราม การก่อการร้าย และการกบฏ โดยส่วนหนึ่งเป็นพฤติกรรมการกระทําผิดที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียชีวิตโดย เป็นการฆาตกรรมโดยเจตนาเป็นสําคัญ[3]


[1] http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2

[2] http://elib.coj.go.th/Ebook/data/judge_report/jrp2555_10_25.pdf

[3] http://library.nhrc.or.th/ulib/document/Fulltext/F07970.pdf

หมายเลขบันทึก: 568488เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2014 15:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม 2014 15:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท