ผู้ประกอบธุรกิจต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนด้วยหรือ


       ผู้ประกอบธุรกิจต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนด้วยหรือ ากกรณีศึกษา เขื่อน ไซยะบุรี ที่ในปัจจุบันรัฐบาลลาว ไทย กัมพูชา วางแผนสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงสายหลักตอนล่างทั้งสิ้น 12 โครงการ เขื่อนไซยะบุรีเป็นเขื่อนแรกที่ดำเนินการก่อสร้างอยู่ในขณะนี้ ซึ่งตัวเขื่อนอยู่ในแขวงไซยะบุรี ประเทศลาว เขื่อนมีกำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ และ 95 เปอร์เซ็นต์ของไฟฟ้าที่ผลิตได้จะขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 

        ทว่า โครงการมูลค่ามหาศาลที่สร้างโดยบริษัทเอกชนและบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจยักษ์ ใหญ่ และสนับสนุนโดยธนาคารชั้นนำของไทย กลับไม่ปรากฏว่าได้ทำการประเมินผลกระทบ“ข้าม พรมแดน” ในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และสุขภาพ อีกทั้งยังไม่ผ่านกระบวนการรับฟังความเห็น หรือได้รับฉันทามติจากประเทศสมาชิกลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างที่ควรจะเป็น

        ผู้ลงทุนพยายามอธิบายให้คนแม่น้ำโขงคลายกังวล ซึ่งส่วนหนึ่งกลายมาเป็นพาดหัวข่าวที่ว่า "โครงการไซยะบุรี ปลาผ่านได้ ตะกอน ทราย ก็ผ่านได้" แต่ คำอ้างนี้ตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับรายงาน “การ ประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์” ปี 2553 โดยสำนักเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ซึ่งระบุว่า การสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงสายหลักจะสร้างผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศพื้นฐาน การไหลของน้ำและตะกอน การขึ้นลงของน้ำตามธรรมชาติ การอพยพย้ายถิ่นของปลาในแม่น้ำโขง และแน่นอนว่าจะกระทบต่อวิถีชีวิตผู้คนนับ 60 ล้านคน


        ทั้งนี้ในรายงานการศึกษาดังกล่าวยังเสนอให้ระงับโครงการ สร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงออกไปอย่างน้อย 10 ปี เพื่อศึกษาผลกระทบเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งนายกรัฐมนตรีของทั้งกัมพูชาและเวียดนามต่างสนับสนุนข้อเสนอนี้


        นายเรวัตร สุวรรณกิติ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ กล่าวว่า "แกนนำเอ็นจีโอไทยสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นเขื่อนเก็บกักน้ำ" จึงทำให้ชาวบ้านเข้าใจไปว่าเขื่อนนี้จะทำให้น้ำท่วม น้ำแล้ง แต่นายเรวัตร จะรู้หรือไม่ว่าชาวบ้านและผู้ที่ติดตามข้อมูลเขื่อนไซยะบุรีต่างทราบดีว่า เขื่อนนี้เป็นเขื่อนประเภท Run-of-River แม้จะไม่มีอ่างเก็บขนาดใหญ่เหมือนเขื่อนอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขื่อนนี้ไม่ได้กักน้ำไว้เลย


       เพราะ ในความเป็นจริง เขื่อนไซยะบุรีจะปิดประตูเขื่อนทุกวันเพื่อกักน้ำไว้ มีความลึกสูงสุดประมาณ 33 เมตร อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนจะกินพื้นที่ 49 ตารางกิโลเมตร ที่สำคัญ เขื่อนจะปล่อยน้ำทุกวันเพื่อผลิตไฟฟ้า


       รายงาน การประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ ระบุไว้ชัดเจนว่า การเปิด-ปิดประตูเขื่อนจะทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนมีความลึกต่างกันประมาณ 3-6 เมตร (ขึ้นอยู่กับระยะห่างจากตัวเขื่อน) นอกจากชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านริมน้ำโขงจะตกอยู่ในอันตรายแล้ว ยังมีเรื่องของปลาในแม่น้ำโขง โดยเฉพาะเป็นปลาที่อพยพย้ายถิ่นตามฤดูกาล ชาวประมงรู้ดีว่าในช่วงน้ำกำลังลดซึ่งเป็นช่วงที่จับปลาได้มากที่สุด หากระดับน้ำขึ้น แม้ไม่ถึง 10 เซนติเมตร หรือน้ำขุ่นจนผิดปกติ ชาวบ้านจะจับปลาไม่ได้ทันที เพราะปลาจะหลงน้ำและเปลี่ยนทิศการว่าย หากระดับน้ำในแม่น้ำโขงเปลี่ยนแปลงหลายเมตรทุกๆ วัน หายนะจะมีมากเพียงใด

         ความสุขประจำวันของชาวประมงริมน้ำโขง คือการลงเรือหาปลาเพื่อนำมาประกอบอาหารในแต่ละวัน หากมีเหลือก็จะนำไปขายเพื่อจุนเจือครอบครัว


         ในส่วนของ "ลิฟท์ปลา" และ "ทางปลาผ่าน" ซึ่ง มีความยาวสูงสุดถึง 3,000 เมตร ซึ่งบริษัทอ้างว่าใช้การได้ดีกับปลาในแม่น้ำโขง จนถึงบัดนี้ยังไม่มีงานศึกษาวิจัยที่มีมาตรฐานรองรับข้ออ้างดังกล่าว ตรงกันข้ามกับรายงานประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ และรายงานทางวิชาการอีกหลายฉบับที่ชี้ว่า การสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงจะปิดกั้นเส้นทางอพยพ ลดจำนวนและความหลากหลายของพันธุ์ปลา มีเพียงปลาผิวน้ำขนาดเล็กไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่กระโจนขึ้นทางปลาผ่านของ เขื่อนได้ในระยะทางสั้นๆ ไม่กี่สิบเมตร


         แม้แต่นักวิชาการจากกรมประมง นายนฤพล สุขุมาสวิน ก็ได้เคยกล่าวในหนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556 ว่า ปลาบึกซึ่งเป็นปลาขนาดใหญ่และมีสถานะใกล้สูญพันธุ์นั้นต้องอาศัยน้ำลึกใน การอพยพ และเป็นไปไม่ได้เลยที่ปลาบึกจะใช้ "ทางปลาผ่าน" ส่วน "ลิฟท์ปลา" ก็เหมาะสำหรับขนปลาแซลมอนที่อพยพมาคราวละมาก ๆ ในเวลาเดียวกัน
เรื่องการระบายตะกอน แม้ผู้พัฒนาโครงการจะอ้างว่าเขื่อนนี้มีประตูระบายตะกอน 4 ประตู แต่การควบคุมการปล่อยตะกอนให้สัมพันธ์กับการไหลและการขึ้น-ลงของระดับน้ำ และคุณภาพของตะกอนที่ปล่อยนั้น มีคำถามว่าใครเป็นผู้

ดูแลตะกอนในแม่น้ำโขงเป็นตะกอนที่ไหลตามน้ำเป็นปกติตลอด 24 ชั่วโมง แต่เขื่อนจะปล่อยตะกอนบางช่วงเวลา เพื่อไม่ให้กระทบการผลิตไฟฟ้า และในฤดูร้อนซึ่งมีน้ำน้อย เขื่อนจะไม่สามารถไล่ตะกอนออกได้เป็นระยะเวลาหลายเดือน และจะกลายเป็นตะกอนเน่าเสียและเป็นพิษ เมื่อถูกระบายออกมาในต้นฤดูฝน ตะกอนเน่าเสียเหล่านี้จะทำให้คุณภาพน้ำโขงซึ่งมีออกซิเจนอยู่ในปริมาณที่ จำกัดอยู่แล้ว กลายเป็นน้ำเน่าเสีย และมันย่อมกระจายไปตามลำน้ำ ข้ามพรมแดนไทยเข้ามาที่ อ. เชียงคาน จ.เลย และแม่น้ำตลอดสายในที่สุด


         ในเรื่องความต้องการไฟฟ้าและการจัดการระบบพลังงานของไทย ซึ่งหลายคนเป็นห่วงนั้น ความจริงก็มีงานศึกษา เรื่อง “ข้อเสนอแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า 2555-2573 (แผนพีดีพี 2012) และกรอบเพื่อการพัฒนาความรับผิดตรวจสอบได้ของการวางแผนภาคพลังงานไฟฟ้า” โดย ชื่นชม สง่าราศรี กรีเซน และดร. คริส กรีเซน ได้ระบุชัดเจนว่า การคาดการณ์ความต้องการไฟฟ้าของไทยสูงเกินจริง และนำมาซึ่งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่เกินความต้องการ เอื้อต่อประโยชน์ผู้ลงทุนเป็นหลัก ทั้งที่ไทยมีกำลังไฟฟ้าสำรองถึง 15-20%


         แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยควรมีหน้าที่เป็นแผนแม่บท ที่กำหนดแนวทางให้มีการลงทุนด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แผนที่มีขึ้นเพื่อสร้างตัวเลขรองรับและความชอบธรรมให้กับการลงทุนที่ ล้นเกินอย่างเขื่อนไซยะบุรี


         ความไร้มาตรฐานที่สำคัญคือ โครงการนี้ไม่มีรายงานผลกระทบข้ามพรมแดนในด้านต่างๆ ทั้งๆ ที่แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำของภูมิภาคที่มีผู้คนพึ่งพาอาศัยกว่า 60 ล้าน คน ทั้งด้านการประมง การเกษตร การค้าขาย และการท่องเที่ยว ฯลฯ แม้โครงการไซยะบุรีจะเคยจัดทำรายงานประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมโดย Pöyry Energy AG แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นรายงานที่ไม่มีมาตรฐาน และบริษัทนี้ก็กำลังถูกรัฐบาลประเทศฟินแลนด์ตรวจสอบอย่างหนักในเรื่องการ ละเมิดหลักความรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจของบริษัท กรณีเขื่อนไซยะบุรี
แม้นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จะ ได้บอกกล่าวกับนักข่าวทั้งหลายในเครือมติชนที่บริษัทพาลงพื้นที่ว่า "การรับเหมาก่อสร้างงานนี้ ไม่ใช่มุ่งแต่จะทำกำไรสูงสุด แต่ยืนอยู่บนผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย" แต่เจ้าของโครงการกลับไม่เอ่ยถึงรายได้ค่าไฟฟ้าที่บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ ช.การช่าง ถือหุ้นใหญ่จะได้รับจากโครงการอย่างน้อย 370,000 ล้านบาท โดยยังไม่รวมถึงประโยชน์จากสัญญารับเหมาก่อสร้างเขื่อน และผลประโยชน์จากราคาหุ้นของบริษัทที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ


         ในขณะที่ประชาชนผู้พึ่งพาแม่น้ำโขงต่างรู้ดีว่า มันเป็นเพียงผลประโยชน์ของทุกฝ่ายที่ร่วมกันสร้างเขื่อนไซยะบุรีเท่านั้น ผู้ที่จะรับชะตากรรมคือผู้ที่อาศัยพึ่งพิงลำน้ำโขงมาช้านาน พวกเขารู้ดีว่า เขื่อนไซยะบุรีนอกจากจะทำลายระบบนิเวศของแม่น้ำที่ไม่มีเส้นแบ่งแยกพรมแดน แล้วยังจะทำลายเศรษฐกิจชุมชนริมโขงตลอดลำน้ำ และหมายถึงการทำลายแหล่งความมั่นคงทางอาหารของคนทั้งภูมิภาคด้วย [1]


         จากข้อเท็จจริงแม้จะเป็นการส่งเสริมด้านธุรกิจ โดยผู้ประกอบการหวังที่จะได้กำไรจากการประกอบการ แลมีการส่งเสริมด้านแรงงานในการสร้างเขื่อน แต่ส่งผลกระทบต่อประชาชนซึ่งไม่สามารถต่อรองกับผู้ที่มีอำนาจกว่า ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

         เมื่อเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ประชาชน ชาวบ้านที่อาศัยในลุ่มแม่น้ำโขงก็มีสิทธิที่จะกล่าวอ้างว่าผู้ประกอบการได้ ละเมิดสิทธิตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิ มนุษยชน ในข้อที่ 25 หลัก ว่า บุคคลมีสิทธิในมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอสำหรับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ ดีสำหรับตนเองครอบครัว รวมทั้งอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาลและบริการทางสังคมที่จำเป็น และสิทธิในความมั่นคงในกรณีย์ว่างงาน เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เป็นหม้าย วัยชรา หรือการขาดปัจจัยในการเลี้ยงชีพ อื่นใดในพฤติการณ์อันเกิดจากที่ตนควบคุมได้

ดัง นั้นหากผู้ประกอบการจะได้มีการดำเนินการต่อไปโดยที่ไม่ได้ศึกษาผลกระทบภาย หลังการสร้างเขื่อนแล้ว และไม่ได้ทำแบบสำรวจ เพียงมุ่งแต่จะแสวงหากำไรเพียงก็จะเป็นการเอาเปรียบชาวบ้านได้


บันทึกเมื่อ 16 พฤษภาคม 2557

เอกสารอ้างอิง
[1]รัฐวิทย์ เรืองประโคน, 8 มีนาคม 2556, เขื่อนไซยะบุรี ผลประโยชน์ของคนไม่กี่กลุ่มหายนะของคนลุ่มน้ำโขง

 (ออนไลน์), สืบค้นจาก : http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000028922

[16 พฤษภาคม 2557]

[2]ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน Universal Declaration of Human Rights (ออนไลน์), สืบค้นจาก : 

http://www.mfa.go.th/humanrights/download , [16 พฤษภาคม 2557]

หมายเลขบันทึก: 568185เขียนเมื่อ 16 พฤษภาคม 2014 18:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม 2014 18:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท