ยามา อุรเคนทรางกูร
นางสาว ยามา อุรเคนทรางกูร อุรเคนทรางกูร

HR-LLB-TU-2556-TPC-สิทธิในเสรีภาพของคนต่างด้าว


                                                                  สิทธิในเสรีภาพของคนต่างด้าว

                  ประเทศไทยต้องรับรองสิทธิในเสรีภาพให้กับคนต่างด้าว แต่การรับรองสิทธิในเสรีภาพนั้น ย่อมมีการจำกัดขอบเขตในบางเรื่อง ไม่ได้มีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนคนชาติ ในที่นี้จะขอกล่าวถึง สิทธิในเสรีภาพของคนต่างด้าวในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสิทธิทางการเมือง

                 เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น คือ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าโดยการพูด หรือการเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการ เท่าที่ไม่ขัดต่อหน้าที่พลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 45 บัญญัติว่า

"บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัว หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน"

                นอกจากรัฐธรรมนูญแล้ว เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นยังปรากฏอยู่ในกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยผูกพันเช่นกัน คือ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 19บัญญัติว่า

"ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออก ทั้งนี้ สิทธินี้รวมถึงอิสรภาพที่จะถือเอาความเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง และที่จะแสวงหา รับและส่งข้อมูลข่าวสารและข้อคิดผ่านสื่อใดและโดยไม่คํานึงถึงพรมแดน"

และ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 19บัญญัติว่า

“ 1. บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง ”

ดังนั้น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจึงเป็นสิทธิมนุษยชนที่มนุษย์ทุกคนมีและต้องได้รับการรับรองจากรัฐ ไม่ว่าบุคคลนั้น จะเป็นคนชาติของรัฐหรือเป็นคนต่างด้าว ก็ย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วยกันเสียทั้งสิ้น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในประเทศไทยนั้นจะถูกกำจัดได้ก็ต่อเมื่อขัดต่อหน้าที่พลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่การจำกัดนั้นย่อมมีผลทั้งคนสัญชาติไทยและคนต่างด้าวเช่นเดียวกัน

               สิทธิทางการเมือง คือ สิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง (self-determination) ด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารรัฐโดยตรง หรือใช้สิทธิเลือกตั้งบุคคลเข้าไปเป็นตัวแทนโดยปราศจากการแทรกแซงจากบุคคลอื่น การเลือกตั้งจึงต้องเป็นไปตามวาระ มีการออกเสียงโดยทั่วไปอย่างเสมอภาค และเป็นการลงคะแนนลับเพื่อประกันการแสดงเจตนาเสรีของผู้เลือกปรากฎในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 1บัญญัติว่า

“1. ประชาชนทั้งปวงมีสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง โดยอาศัยสิทธินั้น ประชาชนจะกำหนดสถานะทางการเมืองของตนอย่างเสรี รวมทั้งดำเนินการอย่างเสรีในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตน ”

สิทธิทางการเมืองนี้เป็นสิทธิที่ต่อมาจากเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเพื่อความมั่นคงของรัฐ ดังนั้นรัฐเกือบทุกรัฐจึงจะถูกกำกัดไว้เฉพาะคนสัญชาติของรัฐเท่านั้น ในประเทศไทย คนสัญชาติไทยเท่านั้นที่จะมีสิทธิทางการเมือง คนต่างด้าวไม่มีสิทธิทางการเมือง มีเพียงสิทธิในการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น


                                          


                กรณีศึกษาของคุณสาธิต เซกัล ผู้มีสัญชาติอินเดีย คือเป็นคนต่างด้าวในประเทศไทย ได้เข้ามาทำงานเป็นที่ปรึกษาสิ่งพิมพ์ โฆษณา และสื่อต่าง ๆ อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งประธานหอการค้าไทย-อินเดีย ซึ่งคอยเจรจาปกป้องผลประโยชน์ของไทยมาโดยตลอด นอกจากนี้ สาธิต เซกัล ยังเคยเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีในรัฐบาลกว่า 6 สมัย นับตั้งแต่รัฐบาลของนายชวน หลีกภัย, รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

คุณสาธิต เซกัล ซึ่งเป็นแกนนำ กปปส. ในปัจจุบัน ได้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำผิดในข้อหาต่าง ๆ และถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แจ้งข้อหาไปที่ศรส. ศรส.จึงแจ้งให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการเนรเทศนายสาธิตออกจากประเทศไทยโดยด่วน

          ประเด็นเรื่องที่ คุณสาธิต เซกัลได้ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือสิทธิทางการเมือง เห็นได้ว่า คุณสาธิต เซกัลได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองในการขับไล่รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บนเวทีกปปส. ดังนั้น คุณสาธิต เซกัลได้ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นคนชาติหรือคนต่างด้าวย่อมสามารถใช้สิทธินี้ได้ แต่หากพิจารณาว่าคุณสาธิต เซกัลได้ใช้สิทธิในทางการเมืองหรือไม่นั้น ไม่มีข้อเท็จจริงที่ว่าคุณสาธิต เซกัลได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารรัฐโดยตรง หรือใช้สิทธิเลือกตั้งแต่อย่างใด ดังนั้น จึงไม่มีการใช้สิทธิในทางการเมืองซึ่งเป็นสิทธิที่สงวนไว้เฉพาะคนชาติเท่านั้น จะเห็นได้ว่า คุณสาธิต เซกัลได้ใช้สิทธิที่ตนมีอยู่แล้ว ไม่ได้ใช้สิทธิเกินแต่อย่างใด

               ประเด็นต่อมาคือ การเนรเทศคุณสาธิต เซกัลเป็นไปตามพระราชบัญญัติการเนรเทศหรือไม่ หากพิจารณาถึงพรบ.การเนรเทศ พ.ศ.2499มาตรา 5บัญญัติว่า

“เมื่อปรากฏว่ามีความจำเป็นเพื่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งให้เนรเทศคนต่างด้าวออกไปนอกราชอาณาจักรมีกำหนดเวลาตามที่จะเห็นสมควร อนึ่ง เมื่อพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป รัฐมนตรีจะเพิกถอนคำสั่งเนรเทศเสียก็ได้”

ซึ่งสอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 13บัญญัติว่า

“คนต่างด้าวผู้อยู่ในดินแดนของรัฐภาคีแห่งกติกาน้ีโดยชอบด้วยกฎหมายอาจถูกไล่ออกจากรัฐน้ันได้โดยคำ วินิจฉัยอันได้มาตามกฎหมายเท่านั้น และผู้นั้นย่อมได้รับอนุญาตให้ชี้แจงแสดงเหตุผลคัดค้านการขับไล่ออกจากรัฐนั้น และขอให้มีการทบทวนเรื่องของตนโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ หรือบุคคล หรือคณะบุคคล ที่แต่งต้ังข้ึนเฉพาะการนี้ โดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจโดยได้รับอนุญาตให้มีผู้แทนเพื่อวัตถุประสงค์ข้างต้นได้ เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุผลจำเป็นอย่างอื่นด้านความมั่นคงแห่งชาติ”

กรณีของคุณสาธิต เซกัลไม่ใช่การเนรเทศตามพรบ.การเนรเทศ แต่เป็นการเพิกถอนการอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พรก.ฉุกเฉิน) ม.11(8) บัญญัติว่า

"ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งการให้คนต่างด้าวออกไปนอกราชอาณาจักร ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนี้ โดยให้นำกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองมาใช้บังคับโดยอนุโลม”

กรณีของคุณสาธิต เซกัลนั้น ไม่ได้ถูกเนรเทศตามพรบ.การเนรเทศ แต่เป็นการให้ออกไปจากราชอาณาจักรตามพรก.ฉุกเฉิน ซึ่งโดยปกติแล้ว หากต้องการจะเนรเทศคนต่างด้าวบุคคลใด ย่อมต้องใช้กฎหมายเกี่ยวกับการเนรเทศของรัฐนั้นๆ ในประเทศไทยก็คือพรบ.การเนรเทศ แต่การเนรเทศคุณสาธิต เซกัลไม่ได้ใช้พรบ.เนรเทศแต่อย่างใด แต่ใช้กฎหมายพิเศษที่มีขึ้นเพื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน                

           ดังนั้นจากกรณีดังกล่าวรัฐบาลไทยอาจต้องทบทวนการใช้กฎหมายเกี่ยวกับการเนรเทศอีกครั้ง ให้มีความถี่ถ้วนและรอบครอบมากขึ้น

หมายเลขบันทึก: 568053เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2014 17:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม 2014 10:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท