Archanwell
รศ.ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

กรณีศึกษาน้องโลตัส - มีมารดาเป็นคนไร้สัญชาติใน ท.ร.๑๓ - เมื่อไปทำงานในเมียนม่าร์ จะได้รับความคุ้มครองไหม ?


กรณีศึกษา“น้องโลตัส” หรือ “เด็กชายจิตติพัฒน์”

: มารดาบุญธรรมไร้สัญชาติใน ท.ร.๑๓ จะได้รับการคุ้มครองการทำงานในเมียนม่าร์หรือไม่ ?

โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

กรณีศึกษาในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๗ ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๗

https://www.facebook.com/note.php?saved&&note_id=10152376741423834

------------

ข้อเท็จจริง[1]

------------

โรงพยาบาลอุ้มผางซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ภาคีจากภาคประชาสังคมที่เข้าร่วมทำงานภายใต้ “โครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕ – พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๙” ได้มีคำร้องมายังคณะผู้ศึกษาวิจัยภายใต้โครงการดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ ทั้งนี้ นางจันทราภา จินดาทอง นักสังคมสงเคราะห์ประจำโรงพยาบาลอุ้มผางได้มีข้อหารือมายังคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดังนี้  

“น้องโลตัส” หรือ “เด็กชายจิตติพัฒน์” เกิดเมื่อวันที่  ๑๗  เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ ณ โรงพยาบาลอุ้มผาง จากเด็กหญิงมะซาว ซึ่งเป็นชาวเมียนม่าร์อายุประมาณ ๑๔ ปี รับจ้างเลี้ยงวัวและดูแลสวนยางพาราอยู่ที่หมู่บ้านเจ่โด่ง เลยชายแดนเปิ่งเคลิ่งเข้าไปเขตประเทศเมียนม่าร์   เมื่อมารดาไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎรทั้งของประเทศเมียนม่าร์และประเทศไทย จึงไม่มีบัตรประจำตัวของคนสัญชาติของทั้งสองประเทศที่เกี่ยวข้องรวมถึงประเทศใดเลยบนโลก นางจันทราภาจึงได้ออกหนังสือรับรองการเกิด (ท.ร.๑/๑) ของโรงพยาบาลอุ้มผางให้ และดำเนินการแจ้งการเกิดของน้องโลตัสในทะเบียนประวัติบุคคลซึ่งไม่มีสถานะทางทะเบียนให้แก่น้องโลตัสต่ออำเภออุ้มผาง อำเภอดังกล่าวได้บันทึกรายการสถานะบุคคลของน้องโลตัสในทะเบียนประวัติเพื่อบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร (ท.ร.๓๘ ก) และให้มีเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก ขึ้นต้นด้วยเลข ๐

ด้วยโรงพยาบาลอุ้มผางตระหนักว่า มารดายังเป็นเด็กวัยเยาว์ จึงไม่ยังไม่มีความพร้อมที่จะดูแลเด็กวัยเยาว์อย่างเหมาะสม ดังนั้น นางจันทราภาจึงหารือประชาสังคมรอบโรงพยาบาลอุ้มผางถึงความเป็นไปได้ที่จะดูแลน้องโลตัส มีบุคคลในหลายครอบครัวเสนอที่จะเป็น “ครอบครัวบุญธรรม” ให้แก่น้องโลตัส ซึ่งทางโรงพยาบาลอุ้มผางได้เลือกครอบครัวของนางบัวติ๊บและนายสุริยา ครอบครัวนี้อาศัยอยู่ในอำเภออุ้มผางนั้นเอง นางบัวติ๊บและนายสุริยาสมรสกันมานาน แต่ไม่มีบุตร การได้รับมอบหมายจากโรงพยาบาลอุ้มผางให้ดูแลน้องโลตัสในระหว่างกระบวนการตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กที่ขาดไร้บุพการี จึงเป็นการสร้างครอบครัวที่อบอุ่นมากขึ้นให้แก่ทั้งบุคคลทั้งสองและน้องโลตัสเอง

นางบัวติ๊บและนายสุริยาจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔ การก่อตั้งครอบครัวระหว่างบุคคลทั้งสองจึงเป็นไปตามกฎหมายไทย ทั้งสองคนมีอาชีพทำไร่ทำสวน ฐานะปานกลาง มีความขยันหมั่นเพียร

นางบัวติ๊บจะยังประสบปัญหาความไร้สัญชาติ เพราะเธอไม่ได้รับการรับรองสถานะคนสัญชาติโดยรัฐใดเลยบนโลก แต่เธอมีสถานะเป็นราษฎรไทยในทะเบียนบ้านคนที่มีสิทธิอาศัยอยู่ชั่วคราว (ท.ร.๑๓) ตามกฎหมายไทยว่าด้วยการทะเบียนราษฎร เธอถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ออกโดยอธิบดีกรมการปกครองโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายไทยว่าด้วยการทะเบียนราษฎร เธอมีเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลักขึ้นต้นด้วยเลข ๖  เธอเป็นบุตรสาวคนโตของนายลูลู และนางเพียง ซึ่งเกิดที่ประเทศเมียนม่าร์ เมื่อราว พ.ศ.๒๕๓๐

เธอเข้ามาในประเทศไทยทางฝั่งบ้านเปิ่งเคลิ่ง ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ตั้งแต่ยังแบเบาะ บัวติ๊บมีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก ๒ คน ได้แก่ (๑) นายสุขซึ่งเกิดที่บ้านเปิ่งเคลิ่งเมื่อราว พ.ศ.๒๕๓๑ ซึ่งเพิ่งได้รับการเพิ่มชื่อใน ท.ร.๑๔ เป็นบุคคลสัญชาติไทยตามมาตรา ๒๓ แห่ง พรบ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒ และ (๒) เด็กหญิงสาวิกา ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๘ ที่โรงพยาบาลอุ้มผาง สาวิกาถูกบันทึกใน ท.ร.๑๓ แต่ทะเบียนบ้านนี้ระบว่า สาวิกาไม่มีสัญชาติไทย และมีเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หน้า ขึ้นต้นด้วยเลข ๗  

ขณะนี้นางบัวติ๊บ นายลูลู (บิดา) และนางเพียง (มารดา) อยู่ระหว่างการยื่นคำร้องขอรับรองสถานะคนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและมีสิทธิอาศัยถาวรตามกฎหมายไทยว่าด้วยคนเข้าเมือง ส่วนเด็กหญิงสาวิกาอยู่ในระหว่างการยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามกฎหมายไทยว่าด้วยสัญชาติ

ส่วนนายสุริยา อินเสาร์ ได้รับการรับรองสถานะคนสัญชาติไทยในทะเบียนราษฎรของรัฐไทยในทะเบียนบ้านคนอยู่ถาวร (ท.ร.๑๔) ในสถานะคนสัญชาติไทย เขามีเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก ขึ้นต้นด้วยเลข ๓  

ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕  ทนายความประจำคลินิกกฎหมายอุ้มผางสิทธิมนุษยชน โรงพยาบาลอุ้มผางได้ประสานงานกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดตาก เพื่อหารือเรื่องการจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมให้ถูกต้องตามกฎหมาย

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประจำจังหวัดจาก (ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า “พมจ.ตาก”) ได้ส่งแบบฟอร์มการรับบุตรบุญธรรมมายังโรงพยาบาลอุ้มผาง และแจ้งว่า ในกรณีที่ทั้งเด็กและผู้ประสงค์จะรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมเป็นบุคคลสัญชาติไทยทั้งคู่ สามารถส่งเรื่องไปที่ พมจ.ตาก เพื่อเข้าประชุมระดับจังหวัดให้อนุมัติการรับบุตรบุญธรรม ทั้งนี้ต้องมีการทดลองนำเด็กไปเลี้ยงเป็นเวลา ๖ เดือนแล้วประเมินผล ส่วนในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย เรื่องดังกล่าวต้องส่งไปขออนุมัติที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่บรรลุที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อการสร้างครอบครัวบุญธรรมตามกฎหมายให้แก่น้องโลตัส

เพื่อที่จะสร้างความชัดเจนในการสนับสนุนการก่อตั้งครอบครัวบุญธรรมตามกฎหมายให้แก่เด็กที่เกิดในโรงพยาบาลไทย แต่ถูกทอดทิ้งหรือขาดไร้บุพการีที่เหมาะสม คณะผู้ศึกษาภายใต้โครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงมีหนังสือเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๗ เพื่อขอหารือแนวคิดและวิธีการเพื่อให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่น้องโลตัส ซึ่งได้รับเลือกเป็นกรณีศึกษาหลักต้นแบบเพื่อสร้างองค์ความรู้ทางกฎหมายและนโยบายเพื่อจัดการสิทธิมนุษยชนให้แก่เด็กและเยาวชน ซึ่งทาง พมจ.ตากได้ตอบรับให้คณะผู้ศึกษาวิจัยเข้าหารือในวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๗ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น.

ดังนี้ สมมติว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งในคณะผู้ศึกษาวิจัยดังกล่าว จึงขอให้ท่านเตรียมความเห็นทางกฎหมายเพื่อเข้าหารือกับคณะทำงานของ พมจ.ตาก ในการประชุมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๗ ดังกล่าว ทั้งนี้ ขอให้ท่านวิเคราะห์ข้อเท็จจริงดังกล่าวในบริบทของกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

--------

คำถาม

--------

โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ถามว่า เมื่อนางบัวติ๊บไปทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานกับบริษัท บ้านสวยริมเมย จำกัด โดยมีหน้าที่เป็นผู้จัดการบ้านพักตากอากาศของบริษัทดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านก้อเชอ จังหวัดกะเหรี่ยง ประเทศเมียนม่าร์  เธอจะมีสิทธิในเสรีภาพที่จะทำงานในลักษณะใด การคุ้มครองแรงงานจะเป็นไปในลักษณะใด เพราะเหตุใด[2]

---------------

แนวคำตอบ

----------------

ประเด็นที่ถามถึงมี ๒ ประเด็น กล่าวคือ (๑) นางบัวติ๊บมีสิทธิในเสรีภาพที่จะทำงานในจังหวัดกะเหรี่ยง ประเทศเมียนม่าร์ในลักษณะใด ? และ  (๒) การคุ้มครองแรงงานสำหรับการทำงานของนางบัวติ๊บในจังหวัดกะเหรี่ยง ประเทศเมียนม่าร์ จะเป็นไปในลักษณะใด ? ดังนั้น การตอบจึงต้องแยกคำตอบออกเป็น ๒ ประเด็นดังต่อไปนี้

-------------------------------------------------------------------------------------

(๑)    นางบัวติ๊บมีเสรีภาพในการทำงานในจังหวัดทวาย ประเทศเมียนม่าร์ในลักษณะใด ?

-------------------------------------------------------------------------------------

ปัญหาสิทธิทำงาน (Right to work) เป็นปัญหาระหว่างรัฐเจ้าของดินแดน (Territorial State) และเอกชน จึงเป็นนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน และเมื่อเรื่องตามข้อเท็จจริงเป็นเรื่องของนางบัวติ๊บ ซึ่งเป็นคนไร้สัญชาติที่เกิดในประเทศเมียนม่าร์ แต่ในปัจจุบัน มีสถานะเป็นราษฎรไทยประเภทคนอยู่ชั่วคราว ซึ่งเข้าไปทำงานในประเทศเมียนม่าร์ เรื่องที่พิจารณานี้จึงเป็นเรื่องของนิติสัมพันธ์ของเอกชนตามกฎหมายมหาชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ กล่าวคือ เป็นเรื่องระหว่างประเทศไทยและประเทศเมียนม่าร์  ซึ่งโดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล นิติสัมพันธ์ของเอกชนตามกฎหมายมหาชนย่อมต้องเป็นไปตามกฎหมายมหาชนภายในของรัฐคู่กรณี แม้จะมีลักษณะระหว่างประเทศ ทั้งนี้ เว้นแต่จะมีการกำหนดเป็นอย่างอื่น

เมื่อกรณีตามข้อเท็จจริง เป็นเรื่องการร้องขอสิทธิทำงานระหว่างนางบัวติ๊และรัฐเมียนม่าร์ซึ่งเป็นรัฐเจ้าของดินแดน กฎหมายมหาชนภายในของรัฐคู่กรณีในที่นี้ ก็คือ กฎหมายเมียนม่าร์ เนื่องจากประเทศเมียนม่าร์เป็นรัฐคู่กรณี และกฎหมายเมียนม่าร์ที่จะเข้ามามีผลในที่นี้ ก็คือ กฎหมายเมียนม่าร์ว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว เนื่องจากนางบัวติ๊บยังมีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าไปทำงานในประเทศเมียนม่าร์ แม้โดยข้อเท็จจริง เธอและบุพการีจะเกิดในประเทศเมียนม่าร์ก็ตาม แต่หากเธอและบุพการียังไม่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติพม่า เธอก็จะยังคงถูกถือเป็นคนต่างด้าวในประเทศเมียนม่าร์

โดยหลักกฎหมายสากลว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวที่นานาอารยประเทศยอมรับ  สิทธิในการทำงานของคนต่างด้าวย่อมมีลักษณะเป็นสิทธิมีเงื่อนไข (Conditional Right)  ดังนั้น คนต่างด้าวจึงไม่อาจมีเสรีภาพอย่างเด็ดขาดดังที่เป็นสิทธิของคนสัญชาติ  โดยทั่วไป คนต่างด้าวจะทำงานได้หากได้รับอนุญาตให้ทำงาน ซึ่งการมีใบอนุญาตทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวย่อมเป็นเงื่อนไขของความเป็นไปได้ที่จะทำงาน  และนอกจากนั้น คนต่างด้าวย่อมไม่อาจร้องขออนุญาตทำงานในสาขาอาชีพที่สงวนให้แก่คนสัญชาติได้เลย

โดยสรุป นางบัวติ๊บจึงมีเสรีภาพในการทำงานในจังหวัดกะเหรี่ยง ประเทศเมียนม่าร์ในลักษณะของคนต่างด้าว การทำงานที่เป็นไปได้ก็คือการทำงานตามที่กำหนดในใบอนุญาตทำงานตามกฎหมายเมียนม่าร์ว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว และเป็นที่แน่นอนที่เธอไม่อาจทำงานที่กฎหมายเมียนม่าร์สงวนให้แก่คนสัญชาติเมียนม่าร์ แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอผ่านการพิสูจน์สัญชาติเมียนม่าร์ และทางราชการเมียนม่าร์รับรองสถานะคนสัญชาติเมียนม่าร์ในทะเบียนราฎรของรัฐเมียนม่าร์ให้แก่นางบัวติ๊บแล้ว เธอก็จะมีเสรีภาพที่จะทำงานในประเทศนี้ในสถานะของคนสัญชาติ และไม่มีความจำเป็นต่อไปที่จะขอใบอนุญาตทำงานตามกฎหมายเมียนม่าร์ว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว

-----------------------------------------------------------------------------------

(๒)    การคุ้มครองแรงงานสำหรับการทำงานของนางบัวติ๊บในจังหวัดกะเหรี่ยง ประเทศเมียนม่าร์ จะเป็นไปในลักษณะใด

-----------------------------------------------------------------------------------

การคุ้มครองแรงงาน (Labour Protection) ก็เป็นเรื่องระหว่างรัฐและเอกชนผู้ใช้แรงงาน จึงเป็นนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน แต่เป็นเรื่องของกฎหมายมหาชนทางสังคม และเมื่อเรื่องตามข้อเท็จจริงเป็นเรื่องของนางบัวติ๊บ คนในทะเบียนราษฎรของรัฐไทย ซึ่งเข้าไปทำงานในประเทศเมียนม่าร์ เรื่องที่พิจารณานี้จึงเป็นเรื่องของนิติสัมพันธ์ของเอกชนตามกฎหมายมหาชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ กล่าวคือ เป็นเรื่องระหว่างประเทศไทยและประเทศเมียนม่าร์อีกเช่นกัน 

โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล นิติสัมพันธ์ของเอกชนตามกฎหมายมหาชนย่อมต้องเป็นไปตามกฎหมายมหาชนภายในของรัฐคู่กรณี แม้จะมีลักษณะระหว่างประเทศ ทั้งนี้ เว้นแต่จะมีการกำหนดเป็นอย่างอื่น แต่ที่ต้องตระหนักในที่นี้ ก็คือ เรื่องของการคุ้มครองแรงงานในต่างประเทศนั้น มีรัฐที่เกี่ยวข้องถึง ๒ ประเภท กล่าวคือ (๑) รัฐเจ้าของดินแดนที่มีการทำงาน และ (๒) รัฐเจ้าของตัวบุคคลของแรงงาน โดยทั่วไป ก็คือ รัฐเจ้าของสัญชาติของแรงงาน และในบางสถานการณ์ ก็อาจรวมถึงรัฐเจ้าของภูมิลำเนาของแรงงานด้วย 

โดยพิจารณาข้อเท็จจริงของนางบัวติ๊บ ซึ่งมีสถานะเป็นราษฎรไทยประเภทคนต่างด้าวที่มีสิทธิอาศัยชั่วคราว เข้าไปรับจ้างทำงานในประเทศเมียนม่าร์ เราย่อมจะต้องมาพิจารณาว่า เธอจะมีสิทธิในความคุ้มครองแรงงานใน ๒ ลักษณะ หรือไม่ ? อย่างใด ?

การคุ้มครองแรงงานในลักษณะแรก ย่อมมาจากรัฐเมียนม่าร์ ซึ่งเป็นรัฐเจ้าของดินแดนที่มีการทำงาน และลักษณะของการคุ้มครองแรงงานนั้นย่อมเป็นไปภายใต้กฎหมายเมียนม่าร์ว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่ผูกพันประเทศเมียนม่าร์ในเรื่องของการคุ้มครองแรงงาน  โดยเฉพาะการคุ้มครองในมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization or ILO) ซึ่งทั้งประเทศเมียนม่าร์และประเทศไทยก็เป็นรัฐสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศดังกล่าว ดังนั้น โดยหลักการ เมื่อนางบัวติ๊บทำงานบนดินแดนของประเทศเมียนม่าร์ เธอก็ควรจะเป็นผู้ทรงสิทธิในกฎหมายคุ้มครองแรงงานของประเทศเมียนม่าร์

การคุ้มครองแรงงานในลักษณะที่สอง ย่อมมาจากรัฐไทย ซึ่งเป็นรัฐเจ้าของภูมิลำเนาทั้งตามกฎหมายเอกชนและมหาชนของนางบัวติ๊บ  และลักษณะของการคุ้มครองแรงงานนั้นย่อมเป็นไปภายใต้กฎหมายไทยว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานไทยในต่างประเทศ  ซึ่งกฎหมายไทยในปัจจุบันที่ให้ความคุ้มครองคนหางานในต่างประเทศ ก็คือ พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘  ดังนั้น โดยหลักการ เมื่อนางบัวติ๊บมีสถานะเป็นราษฎรของประเทศไทย เธอก็ควรจะเป็นผู้ทรงสิทธิในกฎหมายคุ้มครองแรงงานของประเทศไทย

โดยสรุป การคุ้มครองแรงงานสำหรับการทำงานของนางบัวติ๊บในจังหวัดกะเหรี่ยง ประเทศเมียนม่าร์ อาจมาจากทั้งรัฐเมียนม่าร์และรัฐไทย วิธีการคุ้มครองย่อมจะเป็นไปทั้งภายใต้กฎหมายเมียนม่าร์ และกฎหมายไทย ตลอดจนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ  แต่อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกฎหมายทั้งสองนี้ก็อาจเป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป

-------------------------------------------------

[1] เค้าโครงของเรื่องมาจากเรื่องจริงซึ่งผู้ออกข้อสอบน ามาจากข้อมูลการทำงานภายใต้ “โครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนชายแดนไทย – เมียนม่าร์ ประจ าปีการศึกษา ๒๕๕๖” ซึ่งเป็นงานในปีที่ ๒ ของ “โครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๕๕-๒๕๕๙” กรณีศึกษานี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกต่อสาธารณชนในการประชุมวิชาการเรื่อง “สถานการณ์สำคัญเกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางกฎหมายและนโยบายของรัฐไทยและผูกพันรัฐไทย ในการจัดการปัญหาความด้อยโอกาสของเด็กและเยาวชนข้ามชาติจากเมียนม่าร์ โดยผ่าน ๑๕ กรณีศึกษาหลักและกรณีศึกษาในสถานการณ์เดียวกันที่เสนอโดยเจ้าของปัญหาเองและคนท างานในภาคประชาสังคม” ในวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๗ เวลา ๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. ณ ห้องประชุมอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก บุคคลในกรณีศึกษาประสงค์ที่จะให้คณะผู้ศึกษาวิจัยใช้เรื่องราวของตนเป็นกรณีศึกษาต้นแบบเพื่อสร้างสูตรสำเร็จให้การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนในสถานการณ์เดียวกัน จึงประสงค์ให้ใช้ชื่อจริงของเจ้าของปัญหาเอง

อนึ่ง ข้อเท็จจริงเก็บและบันทึกโดย อ.ดร.รัชนีกร ลาภวณิชชา อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนางสาววิกานดา พัติบูรณ์ ผู้ช่วยทางวิชาการในโครงการบางกอกคลินิก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในระหว่างการลงพื้นที่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ระหว่างวันที่ ๑๔ – ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗

[2] ข้อสอบความรู้ชั้นปริญญาตรี ภาคบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาเขตท่าพระจันทร์ การสอบภาคที่ ๒ ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๖ วิชาบังคับ ชั้นปีที่ ๔ วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๗

คุณแม่บัวติ๊บของน้องโลตัส

ซึ่งเราจินตนาว่า ในบริบทอาเซียน เธอมีโอกาสข้ามไปทำงานที่บ้านก้อเชอ ประเทศเมียนม่าร์

ซึ่งอยู่ห่างจากอำเภออุ้มผางประมาณ ๑ ชั่วโมง

หมายเลขบันทึก: 566316เขียนเมื่อ 19 เมษายน 2014 19:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 เมษายน 2014 00:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท