เปิดบันทึกซีรี่ส์ใหม่ : ใครขโมยสตางค์ของฉันไป..ชื่อนี้ก็เลียนแบบทำนอง ใครขโมยเนยแข็งของฉันไป., ใครขโมยเวลาของฉันไป..ตั้งใจเขียนเรื่องราวผ่านประสบการณ์ เป็นเรื่องเล่าอิงทฤษฎีนิดหน่อย เกี่ยวกับการวางแผนการเงินส่วนบุคคล (Personal Finance) สุดท้ายเพื่ออิสระภาพทางการเงิน (Financial Freedom) ซึ่งหมายถึงว่า เราไม่ต้องทำงาน (หาเงิน) อย่างที่เคยทำ แต่ยังคงมีเงินใช้ไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไร
พยายามเขียนเป็นเรื่องเล่าทำนอง "พ่อสอนลูก" (ไม่ให้รวย) หรือ "ครูสอนศิษย์" (ไม่ให้รวย) ประมาณนั้น...
เริ่มเรื่องเล่าเลยครั้บ...ตอนที่บีแมนมาทำงาน (ราชการ) ที่พิษณุโลก เมื่อปี ๒๕๓๐ นั้น กินเงินเดือนๆ ละ ๔,๗๐๐ บาท เท่านั้น ตอนนั้นอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยฟรี (ก่อนหน้าที่จะมาทำงานมีเงินเก็บอยู่ จำนวนหนึ่ง จากที่เคยได้เงินเดือนเรียน ประมาณ ๒ พันกว่าบาท) ช่วงนั้นทำงานอยู่หลายเดือน กว่าเงินจะตกเบิก (จำไม่ได้ว่ากี่เดือน คงเกิน ๓ เดือน)
เดือนๆ หนึ่งใช้เงินไม่มาก ทานข้าวมื้อละ ๖ บาท ทาน ๓ มื้อไม่ถึง ๒๐ บาท เดือนหนึ่งใช้ประมาณไม่ถึงพันบาท เหลือเงินเก็บประมาณ ๓ พันกว่าบาท ให้แม่เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท (จำได้ว่าให้แม่อยู่ประมาณ ๑ ปี ก็เลิกให้..เริ่มไม่พอใช้..อิอิ)
ทำงานมาได้ราว ๑ ปี...มีโครงการบ้านมหาวิทยาลัย...มานำเสนอ เป็นบ้านชั้นเดียวราคาประมาณ ๕ แสนบาท...มานั่งคิดว่า "เงินเดือนเท่านี้ (๔,๗๐๐ บาท เก็บได้ ๓,๗๐๐ บาท กี่ปีจึงจะซื้อบ้านได้..๑๐ ปี ไม่น่าจะซื้อได้)
สุดท้ายตอนนั้นคิดว่า....ยังไม่ต้องอยากได้อะไร..เก็บเงินก่อนสัก ๕ ปี ถึงตอนนั้นค่อยคิดว่าอยากได้อะไร ก็ยังไม่สายเกินไป...นี่จึงเป็นบทนำที่จะไปสู่เรื่องราวของ..."ใครขโมยสตางค์ของฉันไป"
ใครโขมยสตางค์ของฉันไป....ประเทศไทยครับ...แฮ่..
ครับ จะติดตามอ่านต่อไป