ดร.ป๊อป ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครอบครัวหนึ่งที่เลี้ยงดูลูกหรือหลานได้อย่างอบอุ่นและมีความกังวลที่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา...เด็กเริ่มพูดว่า "ไป ออกไป ไปให้พ้น..." และมีคำพูดที่โตเกินวัย เช่น "ตรงนี้ที่นั่งหนู ไม่ให้พ่อนะ พ่อไปนะตรงโน้น"
เมื่อสืบถามถึงช่วงตอนเด็ก ก็เป็นไปตามการพัฒนาพฤตินิสัยของเด็กในโมเดลกิจกรรมการดำเนินชีวิตของมนุษย์ (Model of Human Occupation) ทางกิจกรรมบำบัด ที่ว่า "เด็กจะมีความรู้สึกเป็นศูนย์กลางของครอบครัวเพราะเป็นเด็กคนเดียวที่สมาชิกในครอบครัว (พ่อ แม่ ปู่ และย่า) ให้ความสำคัญและเด็กจะมีศักยภาพเป็นผู้นำความคิดสมเหตุสมผลที่มีบุคลิกภาพชอบถาม กล้าแสดงความคิดเห็น ชอบสั่งการคนอื่น จะคิดเชิงลบกับผู้อื่น (ถ้าคนอื่นยอมตาม) และจะคิดเชิงบวกกับผู้อื่น (ถ้าคนอื่นตามใจ)"
พฤตินิสัยข้างต้นจะส่งผลให้เด็กกลัวที่จะเข้าหาสิ่งที่มีชีวิต สังเกตได้จากกลัวและไม่สบตากับคนแปลกหน้ามากกว่า 3 ครั้งหลังจากที่คนแปลกหน้าพยายามเข้าหาและเล่นด้วยความใจดี และกลับและไม่กล้าให้อาหารกับสัตว์เลี้ยงนอกบ้านของบุุคคลที่สนิท (ตรงข้ามกับสัตว์ในบ้านที่คุ้นเคย) ซึ่งตรงนี้คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ดูแล ต้องทำตัวเป็นต้นแบบหรือตัวอย่างให้เด็กดู ได้แก่ บอกเด็กให้ดูตัวอย่าง ทำตัวอย่างการป้อนอาหารและสัมผัสสัตว์เลี้ยงนอกบ้านของบุคคลที่สนิท แล้วช่วยจับมือเด็กทำตามตัวอย่างเท่าที่ทำได้ ลองดูสัก 3 รอบ แล้วก็กอดเด็กเป็นการให้รางวัลแล้วพูดชื่นชมว่า "เก่งมาก ดีมากลูก"
เด็กจะค่อยๆเรียนรู้กฎกติกาและทักษะการเข้าสังคมกับผู้อื่นตามบริบทของโรงเรียนและสังคมนอกบ้าน เช่น เรียนดนตรี ศิลปะ กีฬา ซึ่งช่วงแรกๆ ผู้ปกครองต้องคุยกับคุณครูที่สอนว่า เด็กจะกลัวและไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า ขอให้ใช้เวลาโดยผู้ปกครองนั่งอยู่กับเด็กด้วยแบบสังเกตการณ์ จากนั้นก็เรียนพร้อมๆกับเด็กจนพอที่จะปล่อยอยู่ในกลุ่มได้ ก็เหลืออยู่ในห้องเรียนแล้วสุดท้ายก็อยู่นอกห้องเรียน เป็นต้น
เมื่อลองพยายามให้เด็กวาดรูป ก็จะสังเกตเห็น ลายเส้นที่เด็กวาดอิสระหรือบอกให้เด็กวาดสิ่งที่เห็น เช่น วาดปลาของลุงป๊อป ...ลายเส้นที่แข็ง หนา เป็นเหลี่ยม บ่งชี้ถึงความคิดที่แข็งแกร่ง หนักแน่น มั่งคง มีเหตุมีผลสูง ซึ่งเมื่อลองสอบถามคุณแม่ ก็พบว่า เด็กทานนมแม่แค่ 1 เดือนและได้รับนมขวดที่คุณแม่อุ้มสัมผัสดูแตกต่างจากที่คุณย่าอุ้มสัมผัส (มีการเปลี่ยนการเลี้ยงดูช่วงวันกับคุณย่าและช่วงค่ำกับคุณแม่ บุคลิกภาพคุณแม่ดูแข็งแกร่ง ส่วนบุคลิกภาพคุณย่าดูอ่อนโยน) และมีการบังคับใน 3 วันที่ให้เลิกนมขวดมาดื่มจากแก้ว ซึ่งเด็กพยายามที่จะปรับตัวจากกระบวนการเลี้ยงดูที่แตกต่างกันนี้ทำให้ดูมีบุคลิกภาพแบบ "แกร่งนอกอ่อนใน...ภายนอกดูแข็งแกร่ง-ไม่ร้องไห้ตอนช่วงเปลี่ยนจากนมแม่เป็นนมขวด กับ ภายในดูอ่อนโยน - เลี้ยงง่าย มีแววตาเห็นอกเห็นใจคนอื่น และมีการขอโทษถ้าตีหรือดุผู้ดูแล"
แต่จากข้อมูลซักถามและสังเกตรับฟังประเด็นตัวอย่างที่คุณย่าสื่อสารกับเด็ก ก็พบว่า คุณย่าใจอ่อนและยอมตามเด็กมากเกินไป ยกตัวอย่าง เด็กพูดว่า "ไป ไม่ชอบ [ตีมือคุณย่า]" คุณย่าก็ตอบว่า "ถ้าตีมือย่า ย่าเจ็บนะ ไม่ดีนะ [แล้วคุณย่าก็แยกตัวออกไปนิ่งเฉย...จนไม่เกิน 5 นาทีเด็กก็เข้ามาขอโทษและประจบคุณย่าแทน"
วิธีปรับการสื่อสารระหว่างคุณย่ากับเด็กที่เหมาะสม คือ คุณย่าควรตอบว่า "ที่ตีย่าเพราะอะไร...ย่าทำถูกหรือทำผิดหละ...ถ้าย่าทำถูก หนูควรตีย่าเพราะอะไร...ถ้าย่าทำถูก หนูควรขอโทษย่าใช่หรือไม่ [ใช้วิธีถามตอบโต้หาเหตุผลจากเด็กสัก 3-4 คำถามจนเด็กตอบโต้ไม่ได้แล้วค่อยบอกสิ่งที่ควรคิดและทำ]...[อย่าใช้คำว่า ทำไม ควรย้ำประโยคจากเด็กแล้วตามด้วยเพราะอะไร จะส่งผลเชิงบวกทางจิตวิทยามากกว่า ทำไม] สังเกตเด็กจะนิ่งนานเพราะกำลังหาคำตอบ พอถึงจุดนี้ให้ใช้โยคบอกเล่าไปซ้ำๆ ไม่เกิน 3 รอบเพื่อให้เด็กได้ปรับตัวกับความคิดที่เหมาะสม
ในกรณีที่เด็กร้องไห้มากมาย ตรงนี้มักจะเป็นเด็กที่เลี้ยงดูแบบกินไปเล่นไปบนพื้นบ้านและคอยตามป้อน ตลอดจนไม่ยอมนั่งทานอาหารบนโต๊ะ เลือกอาหารทานหรือไม่ยอมทานอาหารง่าย ทั้งๆที่ที่รร.จะทานกับเพื่อนได้ตามปกติ ให้วิเคราะห์ว่า ร้องไห้ดูมีเหตุผล เช่น ร้องหาคุณย่า ก็พาเด็กไปหาคุณย่า แต่ถ้าดูไม่มีเหตุผล เช่น ร้องจะเอาแต่ใจหรือจะเรียกร้องความสนใจ ก็อย่าเพิ่งเข้าหาเด็กทันที ปล่อยสัก 2-3 นาที (เพราะอายุ 2 ขวบกว่า) แล้วค่อยๆเข้าไปถามเด็กหรือเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่นๆที่มีเหตุผลกว่า แต่ถ้าเด็กพูดและร้องไห้ด้วยอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม ก็สามารถปล่อยในบริเวณที่ผู้ดูแลมองเห็นอย่างปลอดภัยอย่างน้อย 20 นาทีปรับขึ้นทีละ 20 นาทีในครั้งต่อไปจนไม่เกิน 2 ชม. (ไม่ให้อยู่ในห้องคนเดียวคล้ายขังหรือทำโทษ) โดยสื่อสารกับลูกว่า "ถ้าลูกหายโกรธให้ลูกเดินมาขอโทษ...แต่ถ้าครบเวลาผู้ดูแลก็เข้าหาเด็กแล้วบอกเด็กว่าจะพูดขอโทษให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วกอดเด็กด้วยความรักทันที ส่วนกระบวนการทานอาหาร ก็ให้สื่อสารกับเด็กว่า "ตั้งอาหารอยู่บนโต๊ะ ลูกหยิบทานได้ตลอดเวลาถ้าหิว และให้ลูกมีโอกาสทานเองตามเวลาที่ครอบครัวทานบนโต๊ะ งดนมขวด งดการเดินตามป้อน และให้ดูตัวอย่างการทานอาหารกับครอบครัวที่เหมือนทานอาหารกับเพื่อนที่รร.
ขอบคุณบันทึกดีๆ ค่ะ
ได้ความรู้ดีมากค่ะ
การที่พ่อแม่มีเวลาให้กับลูกเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก...การที่ไม่มีเวลาเลี้ยงดูด้วยตนเองทำให้ขาดกระบวนการในการถ่ายทอดอย่างต่อเนื่อง...เด็กๆจะต้องได้รับการอบรมบ่มนิสัยทั้งทางด้านอารมณ์ การสังเกต ความจำ ความคิด อย่างละเอียดอ่อน และใช้เวลาอย่างเต็มที่เพื่อให้ค่อยๆซึมซับจนตกผลึกนะคะ ...
ขอแลกเปลี่ยนนิดหนึ่งค่ะ สมัยมีลูกตั้งใจเลี้ยงลูกเองและให้นมแม่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ช่วงแรกเร่งครัดและเครียด มาได้ยาย(แม่ของพี่)พูดให้ฟังแบบสบาย ๆ ว่า คนรุ่นเค้าเลี้ยงแบบธรรมชาติ ไม่มีแผน เลี้ยงเจ็ดแปดคนไม่เหมือนกันสักคน มีหลักการเพียงให้ความรักและเลี้ยงแบบธรรมชาติ
ทำตาม ใช่เลยค่ะ กอดหอมให้ความรัก..
ขอบคุณมากๆครับสำหรับความคิดเห็นที่ดีมากๆจากคุณ tuknarak คุณหมอธิรัมภา พี่ดร.พจนา อ.ภูสุภา พี่ณัฐพัชร์ พี่แสงแห่งความดี และคุณกุหลาบ
ในความคิดเห็นหัวข้อดังกล่าวนี้ให้เลี้ยงทั้งง 2 ด้านเลยครับโดยแบ่งให้เป็นภายนอกอ่อนโยนต่อส่วนตัว ครอบครัว และสังคม แต่ภายในแข็งแกร่งไว้ต่อสู้อุปสรรคและสร้างกำแพงภูมคุ้มกัน เกมส์ทันคนและมีความเข้ม - จางของจริยะมโนธรรมควบคุม สมัยนี้ต้องเป็นอย่างนี้ครับ
ขอบคุณมากๆครับและเห็นด้วยกับท่านณัฐนพครับผม
ขอบคุณมากๆครับพี่โอ๋และคุณบุษยมาศ