ปีเทอมใหม่ครานี้ – วิถีชีวิตของลูกๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต
ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่มี “แม่ย่า” เหมือนเก่าก่อน แต่ลูกๆ ยังคงไม่ลังเลที่จะเดินทางกลับไป “เรียนพิเศษที่บ้านนอก” เหมือนเช่นทุกปี
ครับ- น้องดิน ไม่ลังเลที่จะ “บวชเณร” อีกครั้ง และต่อเนื่องเป็นปีที่สองสำหรับการบวชเพื่อทำหน้าที่เป็น “เณรพี่เลี้ยง”
โดยส่วนตัวผมมองว่า การเป็นเณรพี่เลี้ยง ถือเป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับน้องดิน เพราะการเป็นเณรพี่เลี้ยงต้องแบกรับอะไรๆ หลากรูปรส ไหนต้องปลุกบรรดา “เณรน้อย” ทั้งหลายให้รีบตื่นมาล้างหน้าล้างตา –ห่มจีวร-ทำวัตร - ออกบิณฑบาตตามหมู่บ้านต่างๆ ทั้งหมู่บ้านในละแวกตำบล หรือกระทั่งข้ามฟากไปสู่ตำบลอื่นๆ
และที่ดูเหมือนจะท้าทายกับ “ลูกเณร” เป็นพิเศษ ก็คือการต้องดูแลเณรน้อยทั้งหลายให้อยู่ในระบบระเบียบ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครายิ่งกว่าจับปูใส่กระด้ง บ้างงอแงอยากลาสึก บ้างบ่นหิว เหนื่อย เบื่อท้อ และจิปาถะ ซึ่งภารกิจทั้งปวงนั้น ล้วนต้องตื่นกันตั้งแต่ตีสามเลยทีเดียว
ครับ- การงานอันหนักหน่วงเช่นนี้ ไม่น่าจะใช่ปัญหาหลักของลูกเณร เพราะตราบใดที่ลูกเณรยังมีความสุขกับวิถีแห่งการงานเช่นนั้น การงานที่กล่าวมาทั้งหมด ย่อมหมายถึงความรื่นรมย์ดีๆ ของลูกเณรนั่นเอง
ปีนี้- ผมแทบไม่มีโอกาสได้ไปตักบาตรลูกเณรมากเหมือนเช่นทุกปี แต่ทั้งปวงก็มิได้ก่อเกิดเป็นกำแพงกั้นความผูกพันของผมกับลูกเณร หรือแม้แต่น้องแดน-เจ้าจุกเลยซักนิด
แน่นอนครับ- มีบางคืนที่ผมคิดถึง “แม่” อย่างมากมายจนร้องไห้อย่างเงียบๆ ซ้ำร้ายในบางค่ำคืนยังฝันว่าลูกเณรตายจากไปอีกคน ตายไปโดยความฝันที่ว่านั้นมี “แม่” เป็นตัวละครอยู่ในนั้นด้วย
ครับ- สำหรับผมแล้ว ผมไม่เคยกังขาต่อความคิดถึง เชื่อและเคารพว่า “ความคิดถึงทรงอานุภาพ” เสมอ และอานุภาพที่ว่านั้นก็ส่งผลให้ผมฟุ้งฝันและเพ้อพกไปอย่างไร้อาณาเขต ครั้นสะดุ้งตื่นและมีสติ จึงได้แต่ปลอบประโลมตัวเองอย่างเงียบๆ ว่า “ฝันร้าย-กลายเป็นดี”
ปีนี้- ลูกเณรทำหน้าที่เณรพี่เลี้ยงอย่างชัดแจ้ง เป็นเสมือนหัวหน้าทีมคอยนำเณรน้อยออกบิณฑบาต และรับหน้าที่เป็นผู้ให้พรต่อญาติโยมที่มาทำบุญตักบาตรอย่างเสร็จสรรพ
ผมมองและมองอย่างเป็นสุขกับภาพชีวิตที่เต็มไปด้วยชีวิตเช่นนั้น และยิ่งมาเห็น “เจ้าจุก” (เด็กชายไท) กุลีกกุจอแหกตาตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่ออาบน้ำอาบท่า จากนั้นจึงตรงดิ่งเข้าวัดเพื่อทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วยพี่เณร” หรือ “เด็กวัด” อย่างไม่อิดออด ยิ่งพลอยให้ผมปลื้มปีติ อิ่มสุขและมีพลังอย่างบอกไม่ถูก พร้อมๆ กับการพร่ำคิดไปเองว่า การงานแห่งลูกทั้งสอง จะหนุนส่งให้ “แม่” ผู้ “ล่วงลับ” ได้รับผลบุญเหล่านี้อย่างมหาศาล
และปีนี้ก็ถือว่า เป็นปีแรกที่น้องดินและน้องแดน ได้ใช้ชีวิตในวิถีเช่นนี้อย่างกลมกลืนร่วมกัน -
ครับ- ก่อนการบวชเณรนั้น ผมพูดคุยกับลูกทั้งสองชัดเจนเกี่ยวกับวิถีการบรรพชาภาคฤดูร้อน เพราะในบางมิติคนในชุมชนก็บ่นพร่ำว่าการบรรพชาภาคฤดูร้อนเป็นการกิจกรรมที่อุปโลกน์ขึ้นมารองรับการ “หาเงินหาทองเข้าวัด” ล้วนๆ
โดยทั้งปวงนั้น ผมพยายามสื่อสารให้ลูกได้เข้าใจในทำนองว่า ตัวเองได้บวชเณรในช่วงปิดเรียนมายาวนานถึง ๖ ครั้งแล้ว เป็นการข้ามพ้นในเรื่องเหล่านั้นมาแล้วในระดับหนึ่ง ไม่ใช่บวชตามกระแส หรือบวชให้เท่ห์ หรือบวชเพราะถูกบังคับกะเกณฑ์
ครับ- ผมยืนยันว่า การบวชทุกครั้ง น้องดินจะรู้ตัวเองว่าบวชเณรเพราะอะไร (บวชแล้วได้อะไร) และยิ่งการบวชก่อนใครอื่นนั้น ก็ชัดเจนว่า “น้องดิน” ได้ข้ามพ้นธรรมเนียมนิยมของการบรรพชาภาคฤดูร้อนของชุมชนมาแล้วในระดับหนึ่ง มิใช่บวชไปตามกระแสเพื่อให้ได้ทุนรอนเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นค่าขนมนมเนย
และมิใช่บวชเพียงเพราะไม่มีอะไรทำที่บ้านเกิด
ไม่ใช่บวชเพราะดื้อรั้นจนต้องส่งมาเรียนรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผ่านกระบวนการทางศาสนา
หรือกระทั่งจำเป็นต้องบวช เพราะพ่อแม่ ปู่ย่า เครือญาติไม่มีเวลาที่จะดูแลเลี้ยงดู ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ ระหว่างผมกับลูกๆ ทั้งสอง หรือแม้แต่ระหว่างผมกับเครือญาตินั้น เราพูดคุยกันชัดเจนแล้ว-
เป็นความชัดเจนก่อนที่น้องดินจะตัดสินใจบวชด้วยซ้ำไป
ครับ- ปัจจุบันวิถีแห่งการบรรพชาภาคฤดูร้อนในชุมชนต่างๆ ล้วนก่อร่างสร้างตนบนฐานคิดที่ดีด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้รูปแบบในบางเรื่องจะเปลี่ยนผันไปบ้างก็เถอะ แต่โดยส่วนตัวผมก็ยังเชื่อมั่นว่ากระบวนการบ่มเพาะชีวิตของเด็กและเยาวชนผ่านวิถีทางศาสนายังสำคัญอย่างยิ่งยวด เพียงแต่เราต้องชัดเจนว่า เราให้ลูกหลานบวชไปเพื่ออะไร (เพื่ออะไรกันแน่)
และในอีกทำนองหนึ่งก็คือ ลูกหลานของเราต้องตอบตัวเองได้ในระดับหนึ่งว่า "... บวชไปเพื่ออะไร หรือแม้แต่บวชแล้วได้อะไร..."
ส่วนกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงบิดเบี้ยวไปบ้างตามกระแสบางอย่างนั้น ผมว่าถ้าเราชัดเจนตั้งแต่แรก ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงในการที่จะจัดการ หรือประคองตนให้ข้ามพ้นสิ่งเหล่านั้นได้
เพราะในเนื้อแท้ ผมเชื่อว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มิได้บัญญัติให้มีการบรรพชาหรืออุปสมบท “พระเณร” จำนวนเยอะๆ เพื่อไปทำหน้าที่ “ระดมทุน” ให้ได้เงินได้ทอง หรือข้าวของเยอะๆ ไปสร้างศาลาหลังใหญ่ๆ หรือเปลี่ยนหลังคาวัดจากไม้ หรือไม่ก็สังกะสีให้เป็นกระเบื้องวับวาวเหมือนที่พบเห็นดารดาษในปัจจุบัน
เหนือสิ่งอื่นใด สำหรับปีนี้ โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่า ทั้งน้องดินและน้องแดน ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างน่าชื่นชม เพราะถือเป็นปีแรกที่สองหนุ่มได้ใช้ชีวิตในมิติของประเพณี หรือกิจกรรมของชุมชนและศาสนาอย่างกลมกลืนร่วมกันในบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ...
ซึ่ง (มัน) ดีกว่าการวิ่งเล่นอย่างเปล่าเปลืองในแต่ละวัน
และดีกว่าการจ่อมจมอยู่กับละครทีวี และเกมนานาชนิดในมือถือที่นับวันยิ่งทรงอานุภาพอย่างมหาศาลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กๆ และเยาวชนให้ห่างไกลไปจากครัวเรือน-บ้าน-วัด และโรงเรียน ขึ้นทุกวัน และทุกวัน
ครับ- ถึงตรงนี้ก็ยังอยากจะยืนยันว่า การบรรพชาภาคฤดูร้อน ยังคงเป็นบทเรียนพิเศษสำหรับลูกๆ ของผม เพราะผมเชื่อมั่นว่าเป็นกระบวนการหนึ่งของการพัฒนาตนเอง และเป็นกระบวนการอันสำคัญในการบ่มเพาะเรื่องจิตสาธารณะ หรือจิตสำนึกรักษ์บานเกิดในอีกมิติหนึ่ง (ที่เราควรให้ความสำคัญ และจริงจัง จริงใจต่อการสร้างสรรค์ มิใช่ทำขึ้นเพื่อกระแสหลักในบางเรื่องเท่านั้น)
แม่ย่าไปดีมีความสุข ลูกและหลานสืบสานวิถีดีงามต่อไป .... อย่างค่อย ๆ เข้าใจและชัดเจนในแบบของตน
"ผู้ช่วยพี่เณร" เท่มากค่ะ ดูตัวยาวขึ้นมากนะคะ ^_,^
...ชื่นชม "เรียนพิเศษที่บ้านนอก" ...สองหนุ่มได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่ามากๆนะคะ...
อนุโมทนาสาธุกับพี่เณรพี่เลี้ยงด้วยค่ะ
และชื่นชมผู้ช่วยพี่เณรพี่เลี้ยง
ดูแล้วมีความสุข
เด็กน้อยทั้งสองคน
โตมากๆเลย
ครับ พี่หมอ ทพญ.ธิรัมภา
ตอนนี้น้องดิน ยืด-ผอม-บอบบางมากครับ
ปีนี้จะขึ้น ม. 1 แล้ว..
คงเรียนหนักขึ้น ปรับฐานความรู้ยกใหญ่
เวลาที่จะกลับไปเรียนพิเศษที่บ้านนอกอาจน้อยลงไปตามสัดส่วน...
ขอบพระคุณครับ
ครับ พี่ ดร. พจนา แย้มนัยนา
เรื่องราวของพวกเขา กลายเป็นแรงบันดาลใจของการเขียนหนังสือเล่มที่ยังไม่จบครับ (ส่งลูกไปเรียนพิเศษที่บ้านนอก)
งามยิ่่งนัก เณรน้อย
ขอบคุณพี่ใหญ่ นงนาท สนธิสุวรรณ ที่แวะมาให้กำลังใจ นะครับ
ครับ พี่ noktalay
พยายามอย่างมากมาย ให้เด็กสองคนได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กันภายใต้บริบทเดียวกัน ครับ
ขอบคุณครับ พี่ สามสัก(samsuk)
... เป็นการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน, พี่ช่วยน้อง, และน้องช่วยพี่ ครับ
55