ถ้าไม่ติดภารกิจอื่น ๆ ในทุก ๆ ปีที่ผ่านมา
ผมจะพาลูก ๆ ไปชมขบวนแห่เทศกาลมหาสงกรานต์ของมหาวิทยาลัยครับ
แต่ปีนี้ติดภารกิจสำคัญจึงทำให้ไม่ได้ไปครับ
ปีนี้เป็นปีที่ผมรู้สึกว่าตนเองแก่ตัวลง เพราะหลังจากหายป่วยเมื่อเดือนที่แล้ว
สังเกตุว่า สายตาจะยาว และผมหงอกโผล่มาหลายเส้นด้วยหนอ
(ไม่ใช่ผมคนเดียวนะครับที่แก่ตัวลง 555)
จริง ๆ บันทึกนี้ ต้องการจะเขียนเกี่ยวกับ ธรรมะ ก่อนนอนครับ
1. ผมเริ่มสังเกตุว่า จริง ๆ แล้ว ชีวิต ก็คือ ธรรม
กายก็เป็นธรรม ใจก็เป็นธรรม เป็นเครื่องฝึกทั้งนั้น
สิ่งต่าง ๆ รอบตัวใช้เป็นเครื่องมือฝึกทำได้ทั้งนั้น หนอ
2. เมื่อเห็นความเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็อยากถ่ายทอดให้กับคนอื่น โดยเฉพาะคนในชีวิตรอบข้าง
แต่มันก็ได้เลย ในการจะถ่ายทอดปรมัตถ์ธรรมแบบตรง ๆ จนหลายต่อหลายครั้งเกิดอาการท้อ
จริง ๆ แล้วตัวเราเองกว่าเราจะพอเห็นปรมัตถ์ธรรมได้บ้าง ก็ต้องใช้ความเพียรอย่างหนักอยู่หลายปี หนอ
3. อย่ากระนั้นเลยจึงต้องแปรธรรม ย่อยธรรม ให้เป็นภาษาหรือสิ่งที่สื่อกับคนทั้งหลายได้
ผ่านความเป็นเขา ดนตรี กีฬา ที่มนุษย์ชื่นชอบก่อน โดยแทรกแก่นธรรมเข้าไปในกิจกรรมของชีวิตมนุษย์ หนอ
ตลอดหลายวันมานี้ ผมพยายามย่อยและแปรรูปธรรมสู่วิถีมนุษย์
ให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ----- ทำให้พบว่า ..
จริง ๆ แล้วทุกสิ่งเป็นธรรมอยู่แล้ว มันขึ้นอยู่กับว่า
คน ๆ นั้น จะมีญาณหยั่งรู้ได้หรือไม่เท่านั้นเอง หนอ
เรียนอาจารย์ ภูฟ้า
เข้ามาศึกษา ญาณ ศึกษาธรรมยามดึก
ญาณ = หยั่งรู้
ธรรม= พอดี พองาม
หยั่งรู้ อยู่อย่างธรรม
ใช้ชีวิตตามสังขาร ใช้ญาณและธรรม กำหนดวิถี
สาธุ สาธุ ครับท่านผู้เฒ่า