ความพลัดพรากอันโหดร้าย


มู่มู่ เป็นชื่อของสุนัขวัยชรา ที่อาศัยอยู่ข้างบ้านของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้จักกับมูมู่มา 2 ปี เมื่อเจอกันนั้นมูมู่อยู่ในวัยชรามากแล้ว คืออายุ ถึง 13 ปีแล้ว ถ้าเทียบเป็นอายุมนุษย์ก็น่าจะประมาณ 80-90 ปีแล้วเราสนิทสนมกันในระดับที่ข้าพเจ้าให้ข้าวมูมู่แทนแม่ของมูมู่ได้โดยปกติ มูมู่ไม่เอาใครทั้งนั้นนอกจากแม่ของมันคนเดียว

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนมูมู่ล้มป่วย ข้าพเจ้าแนะนำแม่มูมู่ให้นำมันไปพบแพทย์ โดยอาสาเป็นผู้ขับรถพาไปด้วยตนเอง ผลการตรวจเลือดพบว่า มูมู่ติดเชื้อในกระแสเลือดเพราะฟันอักเสบมานาน และมีหินปูนที่ฟันจำนวนมาก ในตอนแรกหมอบอกต้องให้ยารักษาให้หายปวดที่ฟันก่อน จากนั้นค่อยรักษาต่อเนื่องด้วยการขูดหินปูนและถอนฟันซี่ที่มีปัญหา

หมอทำการฉีดยาและให้ยามากินต่อที่บ้าน แต่มูมู่อาการไม่ดีขึ้นเลย ไม่กินอาหารและมีอาการไอตลอดเวลา จับตัวไม่ได้เพราะจับไปตรงไหนก็ร้องด้วยความเจ็บปวดทุกที่ ข้าพเจ้ากับแม่มูมู่จึง นำไปหาหมออีกครั้ง หมอจะให้รักษาด้วยการให้ยาผ่านทางน้ำเกลือ ซึ่งแปลว่ามูมู่ต้องนอนโรงพยาบาล (แฮ่แฮ่ จริงๆแล้วคลินิกรักษาสัตว์) แม่มูมู่ทำใจไม่ได้ที่ต้องทิ้งมันไว้ลำพัง ข้าพเจ้าจึงต่อรองกับหมอให้ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดไปก่อน หมอจึงช่วยด้วยการให้น้ำเกลือใต้ผิวหนัง และฉีดยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบอะไรอีกหลายเข็ม ประมาณว่าก้นมูมู่พรุนไปเลยประมาณนั้น มูมู่กลับมาบ้านกินอาหารบ้างไม่กินบ้างอยู่อีกราว 1 สัปดาห์ อาการหนักเบาอย่างไรบ้างข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัด ด้วยยุ่งอยู่กับการทำงานตามหน้าที่ ที่ยุ่งมากๆ และกลับดึกติดต่อกันร่วมสัปดาห์

จนกระทั้งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แม่มูมู่มาเรียกให้ข้าพเจ้าไปดูมูมู่ เมื่อไปดูจึงเห็นว่ามันอาการผิดปกติมาก อ้าปากเอาลิ้นออกมาข้างนอกตลอดเวลาเหมือนหายใจไม่ออก เดินตัวแข็ง และช้าเหมือนไม่มีแรง ข้าพเจ้าจึงถามแม่มูมู่ว่าจะเอาไปหาหมออีกครั้งดีหรือไม่ หลังจากแม่มูมู่ตัดสินใจอยู่พักหนึ่ง เราจึง นำมูมู่ไปหาหมอ ระหว่างเดินทางข้าพเจ้าถามแม่มูมู่ว่า "ถ้าหมอบอกว่ามันรักษาไม่หายแล้ว จะยื้อให้มันมีชีวิตอยู่อย่างทรมานต่อไปหรือเปล่า หรือจะขอให้หมอช่วยให้มันจากไปอย่างสงบ ไม่ทรมาน (การุณฆาต)"

แม่มูมู่สับสนในการตัดสินใจอยู่นานระหว่างการเดินทาง ข้าพเจ้าปลอบใจว่า "สิ่งที่เราจะขอหมอให้ช่วย จะเป็นการตัดสินใจลำดับท้ายสุด เมื่อไม่สามารถรักษาหรือช่วยให้ไม่ทรมานอย่างที่มูมู่กำลังทรมานให้เห็นอยู่ได้อีกต่อไปเท่านั้น

เมื่อหมอเห็นมูมู่ทำการตรวจแล้ว ได้รับคำตอบว่า มู่มู่มีอาการหอบ เพราะปอดทำงานไม่ดีแล้ว หัวใจก็ทำงานไม่ดีแล้ว ถ้าจะรักษาต้องเอาตัวไว้กับหมอ เพื่อให้ยาเข้าเลือด เท่านั้นแหละแม่มูมู่ก็ปล่อยโฮ ทันที่ บอกว่าไม่เอา ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเขาคงกังวลใจมากถ้าไม่ได้อยู่ดูอาการตลอดเวลา แต่สภาพร่างกายและความเจ็บป่วยของเขาเองก็ทำให้ไม่อาจอยู่เฝ้าดูอาการมูมู่ได้เช่นกัน ข้าพเจ้าอธิบายสิ่งที่หมอบอกให้เขาฟังเขาถามข้าพเจ้าว่า "ถ้าทำอย่างนั้น แล้วมูมู่จะไม่ตายหรือเปล่า" สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องตาย ไม่เว้นแม้แต่ตัวเราเอง คือคำตอบของข้าพเจ้า

เมื่อหมอเองก็ไม่กล้ารับปาก และบอกได้แค่เพียงว่ามีโอกาสเสียชีวิตถึง 90 เปอร์เช็น สำหรับข้าพเจ้าและประสบการณ์ที่ผ่านมา ที่เคยคิดว่ามีแค่ 1 เปอร์เซ็นก็ต้องรักษา และประสบกับการทนดูสัตว์ที่รักต้องทรมานจากการถูกยื้อยุดฉุดกระชากเพราะความกลัวการสูญเสียของข้าพเจ้ามาหลายครั้ง ตอนนี้ 10 เปอร์เซ็นสำหรับข้าพเจ้าแปลว่าไม่มีหวัง รังแต่จะยืดเวลาทรมานมันออกไปเท่านั้น

ข้าพเจ้าจึงลองถามหมอถึงทางเลือกสุดท้ายว่า   "อาการของมูมู่พอมีทางเยียวยาให้ไม่ทรมานอย่างที่เห็นหรือเปล่า รุนแรงถึงขั้นที่ต้องช่วยให้ไม่ต้องทรมานหรือไม่ถ้าถึงอย่างไรก็รักษาไม่ได้แล้ว ไม่มีทางเยียวยาแล้วขอให้หมอช่วยให้มันจากไปโดยสงบได้หรือไม่" หมอถามข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าหมายถึงอะไรคำตอบคือ การุณฆาต หมอบอกว่าทำให้ได้ถ้าเจ้าของยินยอม

แม่มูมู่สอบถามวิธีการและระยะเวลาพร้อมทั้งอาการที่จะแสดงความทุกข์ทรมานของมูมู่อยู่อีกหลายนาที เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว กระบวนการจึงเกิดขึ้น พร้อมเสียงร่ำไห้ของแม่มูมู่ตลอดกระบวนการ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับมูมู่ที่แน่นิ่งไปอย่างสงบ ไม่ได้ยินเรียกร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดอีกเลย จากนั้นเราก็เอาร่างมูมู่กลับบ้าน

แต่ความทรมานของแม่มูมู่ไม่สิ้นสุด เมื่อกลับมาถึงบ้านอันเป็นสถานที่คุ้นเคย ความเคยชินที่จะต้องมีมูมู่อยู่ใกล้เสมอ ก็นำเอาความอาลัยอาวรณ์ มาหาพร้อมความรู้สึกผิดที่ตัดสินใจให้มูมู่ไปอย่างไม่ทรมานเช่นนั้น

ข้าพเจ้าซึ่งทำหน้าที่คอยปลอบใจ และซักถามให้คิดเองอยู่ตลอดเวลาว่า "ถ้าต้องทนเห็นมันทรมานอยู่ต่อไป ไม่มีใครช่วยให้มันหายเจ็บหายปวดได้ เพราะสังขารมันกำลังจะแตกดับตามกาลเวลา ไม่มีใครหยุดยั้งห้ามปรามเอาไว้ได้ และไม่มีใครรู้กำหนดเวลาแน่ชัดจะทนดูอยู่ได้อย่างยอมรับความเป็นไปตามธรรมชาตินั้นหรือไม่" คำตอบคือทนไม่ได้

"ถ้าอย่างนั้นกำลังเสียใจที่ได้ช่วยปลดปล่อยมันจากความทุกทรมานหรือ" คำตอบคือเปล่า อยากให้มันไม่ทรมาน ถ้าอย่างนั้นเสียใจอะไรอยู่ คำตอบคือคิดถึงมัน ข้าพเจ้าได้แต่บอกว่า "มันเป็นธรรมดา ที่เมื่อมีการพลัดพรากในช่วงระยะเวลาแรกๆ หรือเมื่อแผลยังใหม่ๆ สดๆ มันก็ทำพิษเอากับเราให้เจ็บปวดได้ แต่อีกไม่นานมันก็หายก็ลืมเลือน"

ประสบการณ์นี้มันทำให้ข้าพเจ้าคิดไปถึงว่า นี้มันเกิดกับสุนัขที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกนะ ความรักความผูกพันยังมากมายได้ถึงเพียงนี้ แล้วถ้าสิ่งที่เราต้องตัดสินใจปลดปล่อยเขา อันเป็นที่รัก ที่ผูกพัน ที่เคารพรักษาใคร่ ที่เปี่ยมด้วยบุญคุณสุดจะบรรยายด้วยหมึกหมดมหาสมุทร ไปด้วยการไม่ยื้อยุดฉุดรั้งเขาไว้อย่างทรมานละ เราท่านทั้งหลายจะต้องเผชิญกับคำถามคำตอบในใจตัวเองมหาศาลขนาดไหนกัน และหลังจากช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจอย่างกล้าหาญนั้นแล้วยามที่ความคุ้นชินยามที่ความโหยหาเข้าโจมตีอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ยามนั้นเราจะทำอย่างไร ต้องคิดต้องตอบคำถามมากมายเหล่านั้นให้ตนเองอย่างไร

            สำหรับข้าพเจ้าคงต้องใช้ธรรม และการเท่าทันอารมณ์เข้าจัดการกับสิ่งที่จู่โจมทุกขณะที่รู้สึกตัวและเท่าทันตัวเรากระมัง

ครั้งนี้จึงได้เริ่มเรียนรู้ว่า ไม่เพียงแต่ต้องเตรียมตัวเราเมื่อเราระลึกได้ว่าซักวันเราเองก็ตาย อย่าได้ตายอย่างหวาดกลัวความตาย แต่ต้องเตรียมให้ยิ้มรับได้แม้มันอยู่ตรงหน้า ซึ่งยากเย็นเข็ญใจยิ่งแล้ว ยังต้องเตรียมพร้อมสำหรับการพรากจากทุกสิ่งที่รัก ไม่ว่าสิ่งของ สัตว์เลี้ยง และผู้คน เพื่อให้ไม่มีชีวิตอยู่อย่างไม่เข้าใจและโหยหาสิ่งที่พรากจากอย่างทุกทรมาน ด้วยนะเรา

หมายเลขบันทึก: 563642เขียนเมื่อ 11 มีนาคม 2014 14:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มีนาคม 2014 14:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

น่าเสียดายจังเลยนะคะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท