การกินอาหารให้พอ น่าจะดีกว่าการกินอาหารให้อิ่ม


เมื่อสองสามวันก่อน มีงานสังสรรรุ่น KU 29 ที่จังหวัดขอนแก่น
มีเพื่อนถามผมเรื่อง เทคนิคการลดน้ำหนัก มีหลักการอย่างไร
ผมก็บอกสั้นๆว่า.......

"แค่กินอาหารให้พอใช้ เผื่อไขมันไว้นิดหน่อยสักสองสามกิโลกรัมก็พอ"

ไม่ต้องกินให้อิ่ม เพราะจะสะสมไขมันมากเกินความจำเป็น

ที่คิดว่าน่าจะหาคนเข้าใจยาก เพราะคนส่วนใหญ่ เน้น กินให้อิ่ม มากกว่าที่จะกินให้พอ

การกินให้อิ่มจะเน้น การกินตามเวลาของวันและตามเข็มนาฬิกา

บางคนก็ตามใจกระเพาะอาหาร โดยไม่ทราบว่ากระเพาะอาหารไม่มีข้อมูลความจำเป็นของร่างกาย

ที่มักจะกินบ่อย และมาก เกินความจำเป็น และแต่ละครั้งก็อาจจะกินจนอิ่ม
ที่เกินความพอเพียง เกินความต้องการของร่างกาย

แต่บางครั้ง บางคนก็กินอิ่มแต่ไม่พอ 
เช่น การกินแบบไม่เคี้ยวให้ละเอียด อาหารเลยย่อยไม่ได้ ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารเพียงพ
และยิ่งกว่านั้น บางคนไม่สนใจว่ากินอะไรเข้าไป ขอให้อิ่มเป็นพอ "ขยอกกลืน" เข้าไป ที่ทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นเพียงพอ

แต่การกินให้พอนั้น เน้นทั้งปริมาณ และคุณภาพที่จะได้จริงๆ
เคี้ยวให้ละเอียดจนไม่ต้องกลืน จะยิ่งดี ให้อาหารไหลลงคอไปเอง

และหมั่นตรวจสอบว่าร่างกายได้รับอาหารและสารอาหารเพียงพอหรือไม่ โดยพิจารณาจากการทำงานที่เป็นปกติของร่างกาย ไม่มีไขมันสะสมเกินความจำเป็น น้ำหนักไม่เกินมาตรฐาน BMI หรือ จะคิดแบบง่ายๆ นน ที่เหมาะสม ประมาณ = ความสูง-100


ถ้าจะเผื่อไว้สักไม่เกิน 3 กก. ก็น่าจะอยู่ได้เกิน 7 วันโดยไม่ทานอาหารอีกเลย (เผื่อตอนเจ็บป่วย)

แต่คนที่ทานอิ่มทุกมื้อ มักจะเก็บไขมันไว้เกินความจำเป็น ระดับที่ว่า แม้ไม่กินอาหารสักสองเดือนก็ยังอยู่ได้ เพราะมีไขมันสำรอง 10-30 กก ไปโน่น (คิดจากการใช้ไขมันในการดำรงชีวิตวันละ 300 กรัม)

เพราะฉะนั้น ถ้าเรากินอาหารพอ ร่างกายก็ไม่ต้องทำงานมาก ทั้งการหาอาหาร กินอาหาร ย่อยอาหาร และเก็บสะสมอาหาร

วันหนึ่งเราจะทานกี่ครั้งก็ได้ ทานเท่าไหร่ก็ได้ หรือไม่ทานเลยก็ได้ ก็ขอให้แค่พอ หรือ ถ้ายังมีพอก็ไม่ต้องทานอีก

โดยตรวจสอบจากน้ำหนักของเราเอง แบบเดียวกับการดูมาตรวัดน้ำมันรถ ถ้ายังเหลือเกิน 1/4 ถัง ยังไม่ต้องเติมก็ได้

และอย่าใช้กระเพาะอาหารเป็นตัววัดนะครับ เพราะมันรู้น้อยที่สุด ถ้าใช้แล้วโง่ตามมันแน่นอน

วัดที่การคลำไขมันหน้าท้องและรอบเอว ถ้ายังมีตั้งแต่ 1 กก ขึ้นไป ยังไปได้อีกไกลเลยละครับ

ถ้าทำได้เช่นนี้แล้ว คุณภาพชีวิตเราจะดีกว่าเดิมแน่นอนครับ

ไม่เชื่อลองเลยครับ
อิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิ

หมายเลขบันทึก: 562604เขียนเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2014 12:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2014 08:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

I think BMI is calculated with a formula like: BMI = weight (kg) / [height (m)]2

(BMI of about 20 is good; less than 18 is underweight; over 25 is obese)

Our heart, bones, and most organs work well when our BMI is right. High BMI can mean excess deposits of fats and carbonhydate compounds which cause 'mal-functioning' of our body (like engines full of gunks).

Other 'hidden' deposits like 'too much' food stored in refrigerators, 'too many clothes/shoes/books/--things--', 'canned/conserved/pickled/... foods and so on are all 'excess', chemicals contaminated and/or energy wasters.

Eat fresh and just enough!

ใช่ครับ จะใช้ BMI หรือการคิดแบบง่ายๆ (ความสูง-100) ก็พอใช้ได้ครับ

ที่เป็นคนละหลัก แต่ใช้ได้พอๆกันครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท