คน หมา การเดินทาง
กระต่ายใต้เงาจันทร์
แสงแดดอ่อนรำไรส่องกระทบใบหญ้า ของยามเย็น สายลมเบาบางยิ้มทักทาย กระทบผิวกายเป็นระยะ ยอดหญ้าเริ่มยักย้ายไปมาราวเริงระบำกลางสายลม ผสมเสียดสี ปานประดังว่าเสียงบทเพลงแห่งดนตรี
แปร๊นๆๆๆๆๆ สูงแหลมสูงดังลอยลมมากระแทกหู ฝ่ามือกระแทกบนแตรรถดังสนั่น
“ไอ้ควาย..มึงอยากตายรึไงว่ะ” เสียงของชายร่างอ้วนกลมหน้าตาแดงกล่ำลอยหน้าผ่านกระจกรถ มาทักทาย แล้วขับรถเก๋งกระชากออกไป ด้วยความเร็วสูง จนฝุ่นตลบ อบอวล
ฉันได้แต่บอกสายลมและทุ่งหญ้าโปรดให้ฉันเดินทางไปด้วยคนสิ ฉันไม่รู้ว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แทบไม่รู้ด้วยซ้ำมาฉันเป็นใครแต่ชีวิตคือการเรียนรู้และเสาะแสวงหามิใช่หรือ
ฉันเดินไปเรื่อยๆข้างเส้นทาง ของถนนเส้นเล็กๆ มีภูเขาสูงบ้างต่ำบ้างสลับกันทอดยาวปะปนกับต้นไม้ใบหญ้า ความสูงคงเป็นตัวแทนสัจจะในเบื้องลึกในเรื่องความทะเยอทะยานไขว่คว้า ที่จะปีนขึ้นให้สูงเพราะคนเรา มักมีความฝัน ต้องการอิสระและเสรีภาพ และพยายามทำทุกทางเพื่อให้พ้นสภาพจากการถูกกดขี่ข่มแหงจนหลายครั้งความสูงที่เต็มไปด้วยความละโมบโลภมากกลายเป็นหลุมฝังศพตัวเองในที่สุด แต่นั่นแหละปรัชญาจีนได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าไม่มียอดเขาที่สูงที่สุดในท้องฟ้าของการเรียนรู้
ยามเย็นเริ่มจางหายลาลับจากขอบฟ้าความมืดมิดค่อยเข้ามาแทนที่ทีละนิด ตามรายทางที่ฉันเดินแสงไฟฟ้าเริ่มสว่างบ้างเป็นบางดวงจากบ้านที่ริมทางที่ฉันเดินผ่านที่ปลูกห่างกันเป็นระยะ
แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว หมาฝูงใหญ่สิบกว่าตัวไม่รู้ว่าโผล่มาจากทิศทางใด พร้อมใจกันเห่า แยกเขี้ยว ยิงฟัน จ้องหน้าฉันราวกับฉันเป็นผู้ร้ายหรือฆาตกรไปฆ่าครอบครัวมันตาย
“ โฮ่ง โฮ่งๆๆๆๆๆๆ” คำทักทายที่ฉันไม่อยากได้ยินดังลั่น ฉันวิ่งหนีสุดชีวิต สุดฝีเท้าพร้อมคำตะโกนที่ดูดีที่สุดยามนี้
“ช่วยด๊วย’’
ผู้คนที่อยู่ในบ้านที่ฉันวิ่งผ่าน โผล่หน้ากันออกมาดูแสดงสีหน้ากังวลระคนเป็นห่วงพร้อมเสียงตะโกนกันมาเป็นระยะ
“ เฮ้ย..อย่าวิ่งมาทางนี้..วิ่งไปทางอื่นๆๆไป ไป๊ๆๆๆๆๆ” ตามด้วยเสียงปิดประตูบ้านดัง ปัง ปัง ปังอย่างรวดเร็ว
ฉันไม่รู้ว่าฉันวิ่งหนีผ่านบ้านกี่หลัง ได้แต่วิ่ง แล้วก็วิ่ง เจ้าหมาฝูงนั้นวิ่งไล่ตามติดประชิดอย่างภักดีราวกับฉันเป็นเจ้านายมันมาเจ็ดหรือแปดชั่วโคตร
พลันสายตาเห็นเรือนชนบทหลังหนึ่ง ซึ่งออกแบบได้อย่างน่าสนใจ ลักษณะ เหมาะเจาะ สัดส่วนลงตัว รูปทรงสวยงามตามธรรมชาติหลังคามุงด้วยหญ้าแฝดฉันรีบวิ่งมุดไปนั่งยองๆหลบในเรือนหลังนี้ที่ปลูกอยู่ในทุ่งนาเรียกตามภาษาง่ายก็คือห้างเฝ้าทุ่งนา หายใจหอบแฮกๆ ดังจนไม่แยกไม่ออกว่าออกว่ามาจากปากหมาหรือปากคน ที่อยู่ในอาการเดียวกัน เพียงแต่ว่ามันนั่งอยู่หน้าห้างนาแต่ฉันหลบอยู่ในนั้น และมันนั่งกันเป็นฝูง ส่วนฉันนั่งดูเดียวดายไร้คนเหลียวแล
เสียงเหมือนใครคุยกันลอยลมมาแว่วอยู่ข้างหู
“พี่มากจ๋า นาเราปีนี้ไม่ได้ข้าวเลย ฝนแล้งธรรมชาติไม่เอื้ออำนวย ฝนไม่ตกเลยพี่มากจ๋า” เสียงนั้นหวานเย็บยะเยียบ
“น้องนากจ๋า เราทำนาไม่ได้เอาไว้ขายเราแค่เอาไว้กิน ฝนวันนี้ไม่ตก พรุ่งนี้ก็คงตก นี่พี่ก็ฟังเสียงกบอยู่เหมือนกันจ๊ะ.กบร้องเมื่อไรฝนคงตกแร๊ะจ๊ะ..”
“พี่มากจ๋าไหนว่าเราเกิดเป็นคนไทย อยู่ในประเทศไทย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แม้เกิดเป็นหมาในประเทศไทยยังไม่อดตายเลย แต่นี่ดูสิ รัฐบาลเป็นคนกำหนดราคาเอง ขายกันเองถูกๆ ส่วนเราชาวนาได้แต่ปลูกข้าวสนองนโยบายแต่ไม่สามารถกำหนดราคาได้เองทำอะไรต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ผ่านกี่ยุคผ่านกี่สมัยเมื่อไรความเป็นไทยถึงจะมีความสมบูรณ์จ๊ะ
น้องนากจ๋าจะสนใจทำไมจ๊ะ เราทำนาแบบเรา ไม่ได้ใช้เครื่องทุนแรงอย่างใครเขา อีกอย่างนากก็เพิ่งตั้งท้องจะมีลูกหลานมาช่วยทำนาก็หาไม่ ดูบ้านอื่นสิมีลูกหลายคนพอมีนายทุนมาขอซื้อที่นาก็ขายแบ่งสมบัติให้ลูกหลานครอบครัวก็กระจัดกระจายแตกแยกไม่เห็นมีความสุขเหมือนครอบครัวเราเลยน่ะจ๊ะ”
“ที่พี่มากเป็นห่วงน่ะเรื่องฝนมากกว่าถ้าฝนยังไม่ตกน้ำคงไม่เต็มคลอง คลองคงแห้งขอดขาดน้ำ พอพี่มากถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร น้องนากจะไม่มีสะพานทอดยาวพาดแม่น้ำยืนอุ้มลูกรอพี่กลับมา..แล้วเราจะหากันเจอเหรอจ๊ะ...”
ฉันขนหัวลุก เส้นผมตั้งตรงเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบปานผู้คนทั้งหลายที่ยืนตรงเตรียมเคารพธงชาติตอนหกโมงเย็น
อยู่ไม่ได้แล้วโว๊ย คนก็ไม่เห็น ได้ยินแต่เสียง อาการที่เรียกว่าวิ่งโกยอ้าวไม่คิดชีวิตเป็นฉะนี้นี่เอง ฉันวิ่งเรื่อยๆตามเส้นทาง จนมาถึงบ้านไม้หลังหนึ่งที่เปิดประตูบ้านไว้ฉันวิ่งเข้าไปในตัวบ้านนั่งขดตัวที่โซฟาไม้กลางบ้านที่ไร้เงาเจ้าของ เจ้าหมาฝูงนั้นก็วิ่งตามติดฉันอย่างกระชั้นชิดแต่มันก็นั่งเฝ้าประตูบ้านเหมือนเดิม
ฉันนึกใจพร้อมสบถเบาๆ.. “ถุย..นึกว่าจะแน่..เช๊อะ..ที่แท้ก็แค่หมาเฝ้าบ้าน”
เหลียวมองรอบๆบ้าน บ้านไม้หลังนี้บ่งบอกถึงฐานะของผู้มีอันจะกิน ไม้สักทั้งหลัง มุงหลังคาด้วยกระเบื้อง
“ไอ้จ่อยมึงฆ่ากูทำไม” เสียงดังคมเข้มถาม
“มึงรู้ไหมกว่ากูจะไต่เต้าจากผู้ใหญ่บ้านเป็นนายกเทศมนตรีได้ กูลงทุนไปเท่าไร ประชาชนเลือกกูเข้ามาด้วยเสียงข้างมาก รู้ไหมถ้ากูได้ทำหน้าที่ กูจะมีอำนาจต่อรองฝ่ายบริหารข้างมึงได้ แล้วกูยังมีอำนาจขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่ต้องลงมติยังมีอีกน่ะ......มึงก็รู้ กูได้ชี้แจงแถลงนโยบายให้ฟังก่อนเข้ารับตำแหน่งแล้วแต่มึงดันยิงกูเสียนี่ นี่ ถ้ากูรับตำแหน่งน่ะ กูยังมีอำนาจร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำ มึง เห็นไหมงานกูเย๊อะ.......แต่ว่ามึงยิงกูแล้วมึงเสือกยิงตัวตายทำไมไอ้จ่อย..”
เสียงไอ้จ่อยตอบแผ่วเบาในลำคอ
“อ้อ..ผมจะตามมาถามว่า ในการลงสมัครเป็นนายกผมต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างครับ”
ฉันใจสั่น เหงื่อแตกซิกๆ ได้ยินแต่เสียงอีกแล้ว หันมองเพื่อนเพื่อหาแนวร่วมปลอบใจหรือไถ่ถามว่าได้ยินเสียงผู้ใหญ่มากับไอ้จ่อยคุยกันไหม สายตาฉันส่งไปทักทายถามหมาฝูงนั้น แต่ดูสิ แม้แต่หมายังเมิน ไม่ยอมส่งสายตาตอบกลับมา
ฉันวิ่งสุดชีวิตออกจากบ้านไม้แล้วหายตัวมาอยู่ในเรือนกาแลของเศรษฐีในหมู่บ้านย่านนี้ ไม่บ่งบอกว่ามีอันจะกินได้อย่างไรเพราะใช้วัสดุอย่างดีเยี่ยม มียอดจั่วประดับด้วยกาแลไม้สักงดงาม ปลูกอย่างประณีต
“อีเม้ยเอ็งอยู่ที่ใด ออกมาหาข้าที” เสียงลอยมากระทบเข้าไปในรูหูเสียงหม่อมบัวเงินเรียกดังลั่น
ผีอีเม้ยปรากฏตัวคลานมาคลอเคลียที่ตักพร้อมตอบว่า
“บ่าวอยู่นี้เจ้า บ่าวหิว หม่อมเจ้า บ่าวบ่ได้กินอี หยังเลย หม่อมลืมบ่าวแล้วกา หม่อมจะไม่เลี้ยงบ่าวแล้วกา เม้ยเกิดมาอาภัพแต๊ๆ หม่อมของเม้ยนอก จากจะงามที่สุดแล้ว ยังฉลาดลึกตั้งแต่เจียงใหม่ เจียงฮาย ละปาง ละปูน แป้ น่านอุตรดิตถ์โต๊ยเจ้า?”
“อีเม้ย...ข้าเสียดายนักที่ไม่ได้ร่ำเรียนสูงๆยังนังมณีรินทร์มัน เจ้าพี่ถึงไม่รักข้า แต่ข้าไม่เสียใจที่ไม่เรียน เพราะข้าคิดว่าเรียนไปก็เท่านั้น ไอ้หลักสูตรการศึกษาอะไรน่ะมันสำหรับคนจนเรียนกัน ..เอ็งเห็นไหมอีเม้ย ที่บ้านนอกน่ะ คนจนจะถูกเกณฑ์ไปเรียนคนวุ่นวายไปหมดเหมือนโรงเลี้ยงเด็ก เอ็งคิดดูว่าจะมีโรงเรียนดีๆ สำหรับเด็กบ้านอกสักหลังไหมเห็นจะยากเต็มทีเพราะ มีแต่ลูกชาวนาเรียนกัน ทั้งที่มีอาชีพเป็นชาวนาแต่วิชาเกษตรกรดั๊น เป็นวิชาเสริม แต่ บ้านใครพอมีเงินก็ส่งลูกไปเรียนสูงๆ ในพระนคร ส่วนคนจนก็รับเงิน คน นโยบาย อุปกรณ์จากเมืองหลวง คนจนพวกนี้ไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไรต้องอยู่ใต้ผู้มีอำนาจบารมี แบบนี้เค้าเรียกว่า ใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือทางการเมือง อีเม้ย! ข้าเป็นถึงม่อมละลดตัวไปเรียนกับคนจนที่เรียกว่าไพร่ได้จ่ะใด๋ เอ็งเข้าใจ๊ก่อ”
“เม้ยบ่เข้าใจ๋ ว่าหม่อมอู้อิหยังแต่หม่อมของเม้ย นอกจากจะงามที่สุดแล้ว ยังฉลาดลึกตั้งแต่เจียงใหม่ เจียงฮาย ละปาง ละปูน แป้ น่านอุตรดิตถ์โต๊ยเจ้า?”
ทันใดนั้น ก็มีมือเล็กขาวสะอาด เอื้อมมาจับฉันเบาๆตั้งแต่ตอนไหนไม่อาจทราบได้
หล่อนจับปลายแขนเสื้อของฉันที่หล่นรุ่ยร่ายผูกเป็นโบว์ให้ไว้ข้างหลังอย่างทะนุถนอมตามด้วยรอยยิ้มหวานและเนื้อเสียงอันไพเราะว่า..
“คุณคะได้เวลาทานยาแล้วค่ะ...”.
...บันทึกได้สนุกมากๆ...ระดับฝีมือคิดว่าอ่านเรื่องสั้นเลยทีเดียว...ขอบคุณค่ะ