เช้านี้ (๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗) ตื่นตั้งแต่ตี ๔ เตรียมตัวไปเจาะเลือด
นึกว่าเจาะใหญ่...ลืมดูบัตรนัด...ความจริงเจาะเลือดแค่ปลายนิ้วเท่านั้น
ตื่นตั้งแต่เช้าไปโรงพยาบาลถึงประมาณ เกือบ ๐๖.๐๐ น. ได้คิวที่ ๓๘
นั่งรอพยาบาลเจาะเลือด...๐๗.๐๐ น. จึงได้เวลาเจาะเลือด...คิวแรกพอดี
เสร็จแล้วก็ไปทานอาหารที่โรงอาหารของโรงพยาบาล...พร้อมกับซื้อข้าว
นำไปไว้ที่รถเพื่อทานตอนกลางวัน เป็นข้าวกล่อง ๑ กล่อง...เสร็จแล้วเกือบ
๐๘.๐๐ น. เดินขึ้นลิฟท์ไปขั้น ๕...เพียบเลยค่ะ!!! คนสูงวัยนั่งรอกันเพียบ...
นั่งรอเพื่อตรวจเท้า ฟัน ตา กว่าจะเสร็จ...คิวยาวเชียว...แต่บริการเร็วมาก ๆ
คนเยอะมากก็จริง แต่การบริการเยี่ยมค่ะ...ขอชมเจ้าหน้าที่ + พยาบาลของ
โรงพยาบาลพุทธชินราชค่ะ...
ในขณะที่นั่งรอคิวเพื่อตรวจตา...มีพี่ผู้หญิงท่านหนึ่งเห็นหน้าฉัน...เขาจ้องมองและ
ก็ยิ้มให้และก็เอ่ยถามว่า..."มาตรวจตาเป็นอะไรรึ...เห็นหน้ายังเด็ก ๆ"...๕๕๕...
เอาอีกแล้วแกล้งยอกันตั้งแต่เช้าเชียว...ฉันโต้ตอบไปว่า..."ไม่เด็กแล้วค่ะ ๕๒
แล้วค่ะ"...เขาบอกว่า..."นั่นแหล่ะเด็ก...เพราะพี่ ๖๙ แล้ว"...คริ ๆ ๆ...ฉันบอกพี่
เขาไปว่า..."โอ้โห!!! ถึงแล้วเหรอค่ะ คริ ๆ ๆ หน้าพี่ก็ยังไม่แก่เลยอ่ะ"...
พี่คนนั้นก็ยิ้มให้ฉัน...มิน่า...เขาถึงมองฉันว่า "เด็ก" อิอิ...เพราะอายุเขามากกว่าฉัน
ตั้ง ๑๐ กว่าปีแน่ะ...
ตรวจตา เท้า ฟัน เสร็จ...ถามพ่อหนุ่มน้อยที่คอยเรียกชื่ออยู่หน้าห้องว่าเสร็จหรือยัง?
หนุ่มน้อยบอกว่า...พี่เข้าไปนั่งรอในห้องนั้นก่อนเพื่อฟังคำอธิบาย...(ซึ่งฉันก็พอรู้ว่า
เขาจะอธิบายว่าอะไร?...ฉันบอกหนุ่มน้อยคนนั้นว่า..."พี่จะกลับไปทำงานจร้า"
หนุ่มน้อยคนนั้นมองดูฉันแล้วก็ยิ้ม (เพราะฉันใส่ชุดกางเกงยีนส์เสื้อยืดไป เนื่องจาก
ถ้าใส่กระโปรงไปแล้วต้องใส่ถุงน่อง ซึ่งไม่สะดวกในการตรวจเท้าต้องถอดอีก ก็เลย
ใส่ชุดไปรเวทดีกว่า สะดวกดี)...หนุ่มน้อยจ้องมองหน้าฉันอีก...พร้อม ๆ กับยิ้มใส่
บอกกับฉันว่า...อ๋อ ๆ ๆ ได้ครับพี่...และเราก็หัวเราะใส่หน้ากัน...
นี่คือ...อาการของการให้บริการที่มีจิตที่ดีในการให้บริการต่อกัน...
เสร็จแล้ว...ฉันยังไม่กลับไปทำงาน แวะไปที่ตึกกุมารเวชก่อน...ความจริงถ้ามียาม
ประจำอยู่ด้านล่าง ฉันคงไม่ได้ขึ้นไปเยี่ยมเพราะเขาจะให้เข้าเยี่ยมตอนเที่ยงไปแล้ว
...๕๕๕...แต่บังเอิญ ยามไม่อยู่...ฉันก็เลยแอบขึ้นไปชั้น ๓ เพื่อเยี่ยมเจ้าหลานชาย
หลานสาว ตัวน้อย ที่มีอายุไม่ถึงขวบ กับ ๒ ขวบกว่า ๆ ป่วยเป็นโรคที่ไม่พึงประสงค์
กันตั้งแต่เด็ก ๆ คนหนึ่ง แพทย์สันนิษฐานว่าจะเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด...
ส่วนอีกคนหลานสาวล้มบ่อย ๆ สมองได้รับความกระทบกระเทือน หลับไปตั้ง ๕ วัน
กว่าจะฟื้น ๆ ขึ้นมาก็ไม่ปกติ ชอบแลบลิ้น มองไม่ชัด...ฉันเห็นแล้วได้แต่นึก...
เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเขายังเด็กกันเกินไป...น้ำตาพาลจะไหล...ฉันเห็นเด็กเตียงโน้น
เตียงนี้ ทำให้ฉัน"ปลงชีวิต" ขึ้นเยอะเลย...คนเราตั้งแต่เกิดมาก็มีกรรมแล้ว รู้ตัวกันบ้าง
หรือเปล่า? คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม...สำเนียกกันบ้างหรือเปล่า?...ตลอดชีวิต
เราเกิดมาเพื่อใช้กรรม...
ตายไม่น่ากลัวเท่ากับเกิดครับ..เพราะเรามีเวลาอยู่บนโลกนานที่จะเจอภัยต่างๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้และต้องทนอยู่กับมันตลอด เหมือนนอนอยู่ในกองทุกข์ ตามกรรมของตน ตาม "โรงพยายามรักษา" (โลกเช่นโรงที่พยายามรักษาตน) เพื่อให้รอด...แต่คนทั่วโลกกลัวตายมากกว่าเกิด..พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์รู้โครงสร้างของชีวิตแล้วจึงเปล่าอุทานว่า.."ตถาตา" แปลว่า มันเป็นไปตามเส้นทางของมันเรียกกันว่า "ธรรมดา" (ธมฺมตา)...หน้าที่เราคือ ศึกษา เรียนรู้ ฝึกจิต ให้เข้าถึงกฎนี้ จนจิตรู้แจ้งตน แล้วจะเบิกบาน ใช่หวาดกลัว ว่าตัวจะตาย...เมื่อกรรมบีบคั้น เราหรือจะมองเห็นทางพ้น นอกจากอยากตายลูกเดียว..ขอบคุณพี่บุษย์ที่ปลุกจิตให้คิดถึงชีวิตที่น่าอัศจรรย์ครับ
ขอบคุณค่ะ คุณ ส.รตนภักดิ์ นี่คือ ความจริงของชีวิตคนเราค่ะ สิ่งที่เราได้รู้ ได้เห็นทำให้เรารู้สึกได้กับบางสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเราค่ะ
ขอขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจค่ะ
ในสัปดาห์นี้เกือบจะบอกว่าร่วมงานศพตลอดครับ ก็คงเหมือน ท่านผอ.ว่า ปลงขึ้นไปกับชีวิตอีกโขก็ไม่รู้ว่าวันไหนจะเป็นวันของตัวเอง ก็พร้อมนะครับ..เพียงหวังว่าหนี้สินที่เป็นหนี้สินเวรกรรมจะลดทอนลงบ้าง และหนี้ทางโลกก็มากโขเหมือนกัน. เตาะแตะ ต้วมเตี้ยม เต่งตึง โตงเตง สุดท้าย...ก็ต้อง...ตาย..แล้วไยต้องเข่นฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน
ขอบคุณค่ะ คุณ ทำให้เราเห็นสัจธรรมของชีวิตไงค่ะ...
ขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจจากทุก ๆ ท่านค่ะ