เด็กก่อนวัยเรียน (0-5 ปี) และเด็กวัยเรียน (อายุ 6-14 ปี) เป็นกลุ่มเสี่ยงกลุ่มหนึ่งที่จะเกิดโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
เนื่องจาก ต้องการธาตุเหล็กเพิ่มสำหรับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
>> ผลร้ายของโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
ส่งผลให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเซลล์สมอง เซลล์ต่อสู้เชื้อโรค
เซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้เกิดผลเสีย คือ
1. ประสิทธิภาพในการเรียนลดลง เนื่องจากเซลล์สมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
2. มีความเสี่ยงสูง ในการเกิดโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เช่น เป็นหวัดบ่อยและมีอาการรุนแรง
3. มีอาการเหนื่อยง่าย เซื่องซึม จิตใจไม่ร่าเริง แจ่มใส
>> สาเหตุของโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
1. ได้รับธาตุเหล็กจากอาหารไม่เพียงพอ
2. มีการเสียเลือดเรื้อรัง ซึ่งส่วนใหญ่ เกิดจากการเป็นโรคพยาธิปากขอ
3. ร่างกายต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต
>> อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
ธาตุเหล็กในอาหาร มี 2 ชนิด คือ
1. ธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์ (Heme iron)
โดยที่ Heme แปลว่าเลือด ดังนั้นอาหารประเภทนี้ จึงได้แก่ อาหาร
ประเภทเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อวัว หมู เป็ด ไก่ ปลา ฯลฯ และผลิตภัณฑ์ของเนื้อสัตว์ เช่น
ตับ เลือด ฯลฯ อาหารประเภทนี้ จะมีธาตุเหล็กสูง และดูดซึมได้ร้อยละ 10-20
2. ธาตุเหล็กจากพืช (Non-heme iron)
อาหารประเภทนี้ ได้แก่ อาหารประเภทพืชผัก โดยเฉพาะผักใบเขียวเข้ม เช่น
ผักกาดเขียว คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้งจีน ฯลฯ
>> การควบคุมและป้องกันโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
1. กินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย โดยเฉพาะอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
2. กินอาหารที่มีวิตามินซีสูง พร้อมมื้ออาหารหลัก เพื่อส่งเสริมการดูดซึมธาตุเหล็ก
3. งดการกินอาหารที่ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น น้ำชา กาแฟ ผักกระถิน ขี้เหล็ก ฝรั่ง พร้อมมื้ออาหารหลัก
4. กินยาเม็ดธาตุเหล็ก (เฟอรัสซัลเฟต) อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง (ในเด็กวัยเรียน สัปดาห์ละ 1 เม็ด)
เป็นการป้องกันโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก และถ้ากินสม่ำเสมอจะทำให้ผู้ที่มีภาวะพร่อง/ขาดเหล็ก กลับมาสู่ภาวะปกติได้
5. ป้องกันโรคพยาธิปากขอ โดยการถ่ายอุจจะระในส้วม สวมรองเท้าทุกครั้งก่อนออกจากบ้านและล้างมือทุกครั้ง
ก่อนการกินอาหาร
ลูกชายได้ยาเสริมธาตุเหล็ก กินอาทิตย์ละครั้ง
ลูกชายเอายาซุกในกระเป๋าเสื้อนักเรียน
พอเอาไปซักเสื้อก็เลอะเป็นสีเหลืองเต็มกระเป๋า
กว่าจะเอาออก หมด ไฮเตอร์ไปเยอะเหมือนกัน 55