ช่วงบ่ายของวันที่ ๒๖ ต.ค.๔๙ ในการจัดกระบวนการ การจัดการความรู้ การผลิตผักปลอดภัยจากสารพิษ หลังจากแบ่งกลุ่ม กันถอดองค์ความรู้และรวมกลุ่มกันเพื่อ ช่วยกันสร้างขุมความรู้เก็บไว้เพื่อสมาชิกและคนอื่น ๆ จะได้นำไปปรับใช้ต่อไปแล้ว
เป็นช่วงสุดท้ายของการสัมมนาครั้งนี้ และถือเป็นช่วงสำคัญตามพฤติกรรมที่ผมมองเห็น ที่ผมว่าสำคัญคือผมเป็นนักส่งเสริมการเกษตร ต้องทำงานร่วมกับกลุ่มคนหลายระดับ ทั้งระดับชุมชน และระดับหน่วยงาน/องค์กรต่าง ๆ แต่ผมจะเน้นที่ชุมชน ทั้งระดับผู้นำชุมชน เกษตรกรแนวหน้า เกษตรกรทั่วๆ ไป
ในการดำเนินการกิจรรมอะไรก็ตามหากเริ่มครั้งแรกด้วยความมั่นคงแข็งแรงการทำงานเราจะต่อยอดได้ง่าย และลดการลงแรงได้อย่างมากเหมือนปลูกต้นไม้ที่เริ่มงอกงามเป็นต้นตอที่แข็งแรงแล้วจะมาต่อยอดอย่างไรก็ได้ แต่หากดำเนินการเพื่อให้รู้ว่าดำเนินการแล้ว ครั้งต่อไปต้องลงมือปลูกใหม่หรือนับหนึ่งใหม่(งานเดิม) ซึ่งคือยังปลูกต้นตอไม่รอดว่างั้นครับ ต้องเหนื่อยใหม่
กระบวนการ KM เป็นกระบวนการที่ทำให้เราเรียนรู้ได้หลากหลาย ทั้งพฤติกรรมคน สังคมที่แตกต่างกัน ความต้องการของคน ช่องว่างระหว่างคน หน่วยงาน ก่อนจัดการความรู้ครั้งนี้ ผมไม่คาดหวังอะไรมากไปกว่าให้เกษตรกรกลัวที่จะใช้สารพิษ แต่จะพูดว่าเกินเป้าที่ตั้งไว้มาก ๆ ก็ว่าได้เพราะ วันแรกที่พี่เกรียงไกรจากจังหวัด และพี่สุภาพ คำนุ่นได้พูดถึง KM ทำให้บุคคลเป้าหมายสงสัยงงและอยากรู้ และเขาก็พูดตลกกันเรื่อง KM กับ MK แต่การตลกไม่ใช่แบบไร้สาระ แต่เพื่อการเรียนรู้ของเขาครับ และผมรู้ว่าแรก ๆ เขาก็งง ๆ ผมต้องถือโอกาสคอยให้ซึมซับและตอนนี้เชื่อว่าเขารู้จัก KM แล้ว และใจได้เปิดแล้ว
สิ่งที่สะท้อนออกมา จากน้องผู้ชายคนหนึ่งซึ่งถือว่ายังอยู่ในวัยไม่ห่างจากวัยรุ่นมากนักว่า "ตอนลุงนวย(พี่อำนวย มาศเมฆ)ชวนผมมาตั้งหลายที(ครั้ง)แล้ว แต่ผมไม่อยากมา เพราะผมไม่ชอบราชการ ที่ผมเห็นเมื่อก่อนมีแต่เขาเอาเปรียบเรา แต่ผมเกรงใจลองมาแล(ลองมาดู) แต่มาถึงวันนี้สิ่งที่ผมคิดคงเป็นเรื่องในอดีต ตอนนี้ที่ผมเห็นมันคนละเรื่องผมบอกตามตรงว่าตอนนี้ผมชอบที่จะมาและหนุก(สนุก)ที่ได้มา "
ป้าคนหนึ่งบอกว่า "อยากให้เราได้มาพบกันเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อย บางครั้งเวลามีปัญหาไม่รู้จะถามใคร ถ้ามาเจอกันจะได้ช่วยกันแก้ไข"
และหลาย ๆ สิ่งสะท้อนในทางบวก เช่น
ภาพนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเพื่อนใหม่ครับที่มาขอให้ผมช่วยถ่ายให้เพราะเป็นช่วงเลิกสัมมนาได้กลับกันไปส่วนหนึ่งแล้ว
หลังจากนี้ผมต้องเปลี่ยนเป้าหมายการหาพันธมิตร KM ใหม่เพราะตั้งแต่ที่ผมเริ่มเรียนรู้มาตั้งแต่ช่วงต้นปี พยามดึงใครหลาย ๆ คน(คนใส่หมวก) จนล้าและเหนื่อยก็ยังดึงให้เดินไม่ได้เพราะบางคนต้าน บางคนเฉย เลยขอเปลี่ยนไปที่เกษตรกรดีกว่าเพราะ ๓ วันที่ผ่านมาเชื่อว่าผมได้คุณกิจตัวจริงหลายคน และแววคุณอำนวย คุณประสาน คุณลิขิต คุณเล่า เริ่มฉายให้ผมเห็นชัดเจนขึ้นครับ
คงไม่ดึงมือคนใส่หมวกอีกแล้ว(เหนื่อย และ............)
อ.ชาญวิทย์ ....AAR โครงการผลิตผักปลอดภัยจากสารพิษ มาให้ได้ทราบกัน ทำให้ผมได้รู้ เข้าใจอะไรขึ้นอีกเยอะ เห็นว่าโครงการนี้ใช้เรียนรู้แก้จน ....แก้ปัญหาอะไรได้สารพัด เป็นประโยชน์กับชาวบ้านที่จะใช้เรียนรู้ต่อเนื่องได้ เพราะชีวิตคนใต้บ้านเราก็ไม่พ้นเรียนรู้เรื่องเกษตรนี่แหละครับ...ทำไประยะหนึ่งแล้ว ก็ได้บทเรียนประการหนึ่งแล้วว่าสร้างคุณกิจ คุณอำนวย คุณเล่า คุณประสาน คุณลิขิต ฯลฯ ที่เป็นชาวบ้านได้ดีกว่า ง่ายกว่า คนที่มีหมวกยศฐาบรรดาศักดิ์ ผมเองก็ไม่มีความเห็นแย้ง อ.ชาญวิทย์เลย ผมคิดว่าชาวบ้านที่เราสร้างได้ให้เป็นยอดคุณกิจ คุณประสาน ฯลฯเหล่านี้นี่แหละครับ จะเป็นตัวช่วยเราในการเร่งให้ผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์ ถอดหมวกตำแหน่งแห่งที่ให้มาเป็นนักเรี่ยนเรียนรู้งานไปพร้อมๆกันได้สักวัน ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
เรียน อ.จำนง
ผมเองพยายามเชื่อมโยงเพื่อไม่ให้มองเป็นเรื่องแยกส่วน เพราะเป็นฐานอาชีพตามวิถีชีวิตจริง สำคัญโครงการนี้มีจุดดำเนินการไม่กว้างแต่ก็สามารถต่อยอดเป็นกลุ่มเรียนรู้ได้ครับ
มีโครงการอีกโครงการที่ทำทุกตำบลทั่วประเทศคือ โครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน(คสป.) ในตัวโครงการกำหนดไว้เลยนะครับว่าให้จัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ KM อ.สอบถามที่ นักวิชาการ ฯ เกษตรเมืองนะครับทุกโครงการเชื่อมให้เป็นเรื่องแก้จนเมืองนครได้หมดละครับ
เรื่องพันธมิตร ผมเปลี่ยนเป้าหมายและทางเดินแล้วครับ เพราะทางไหนเดินยากก็อย่าไปเดินเลยครับถึงที่หมายช้า
เรียน อ.จำนงเพิ่มเติม
โครงการ คสป.ผมมีบันทึกปฏิบัติอยู่ด้วยครับ คลิ้ก
จากน้องผู้ชายคนหนึ่งซึ่งถือว่ายังอยู่ในวัยไม่ห่างจากวัยรุ่นมากนักว่า "ตอนลุงนวย(พี่อำนวย มาศเมฆ)ชวนผมมาตั้งหลายที(ครั้ง)แล้ว แต่ผมไม่อยากมา เพราะผมไม่ชอบราชการ ที่ผมเห็นเมื่อก่อนมีแต่เขาเอาเปรียบเรา แต่ผมเกรงใจลองมาแล(ลองมาดู) แต่มาถึงวันนี้สิ่งที่ผมคิดคงเป็นเรื่องในอดีต ตอนนี้ที่ผมเห็นมันคนละเรื่องผมบอกตามตรงว่าตอนนี้ผมชอบที่จะมาและหนุก(สนุก)ที่ได้มา "
เจอบทความ อ.ปภังกร เขียนเอาไว้ดีเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงกับการเลิกทาส อยากให้ อ.ชาญวิทย์ ได้อ่าน ลิ้งอ่าน
เรียน.... พี่ชาญวิทย์ ผมก็เคยมีความรู้สึกเหมือนพี่กับ "กรณีคนทีหมวก" และ คิดว่าจะมีอย่างน้ีไปอีกนานครับพี่... แต่ถึงอย่างไร ในฐานะคนคอเดียวกันเข้าใจดีครับ... ทุกอย่างไม่ได้ด้วยความสะดวก ราบรื่น แต่ต้องฝ่าฟัน ค้นหา ทำให้ได้มา .... เหมือนเสื้อสามารถที่พี่ได้ไงครับ... มีคนอีกมากมายที่เห็น.... จะมองอะไรกับคนจำนวนน้อยที่พยายามไม่ทำความเข้าใจ....
ผมจำคำพูดท่านผู้ว่าฯ วิชม ทองสงค์ ท่านบอกว่า "ความรู้เป็นสิ่งที่หยุดนิ่ง ความเข้าใจเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง ไหลไปเหมือนกระแสน้ำ เราต้องทำความเข้าใจ เพื่อทำลายกำแพงความรู้ที่หยุดนิ่ง.... พี่ต้องพยายามทำให้เขาเกิดความเข้าใจ เผื่อบางที "คนมีหมวก" จะเข้ามาร่วมกระบวนการกับเราบ้าง... นะนี่นะ....