ค่ำวันหนึ่งขณะที่ผมทำงานในคลินิก
คุณแม่วัยทำงาน พาหนุ่มน้อยวัยขวบเศษมาฉีดวัคซีน
ขณะอธิบายและลงบันทึกต่างๆผมสังเกตว่าเธออุ้มลูกไม่ถนัดถนี่นักทั้งที่ลูกขวบกว่าแล้ว
“หนูไปทำงานที่พัทยา ให้ยายเลี้ยงเย็นวันเสาร์ก็กลับมาบ้าน
ยายแก่แล้วขี่รถไม่เป็น หนูต้องเป็นคนมาส่งหาหมอเอง”
“งานที่ระยองก็เยอะนะ ย้ายกลับมาสิ จะได้อยู่ช่วยคุณยายเลี้ยงทุกเย็นไง”
“ทางโน้นค่าแรงแพงกว่าค่ะ หนูไปกันทั้งสองคนเลย แต่ก็กลับมาดูเขาทุกอาทิตย์นะ “
“เก็บเงินไว้ให้หนูเนอะ”ว่าแล้วก็ทำท่าคุยกับลูก
“ถ้างั้น กลับมาก็หมั่นหัดเลี้ยงดูลูกแล้วกันนะครับ โตขึ้นจะได้รู้นิสัยใจคอกัน”
ผมส่งแม่ลูกไปห้องฉีดวัคซีน
พยาบาลแนะนำท่าที่จะให้คุณแม่อุ้มลูกฉีดวัคซีนได้อย่างกระชับ
เธอทำท่าไม่อยากอุ้มเอง
“พี่อุ้มให้หนูดีกว่า หนูกลัว”พลางยื่นหนุ่มน้อยให้พยาบาล ขณะที่หนุ่มน้อยเริ่มร้องและดิ้น
“ไม่ได้ค่ะ คุณแม่เป็นคนอุ้มกอดแน่นๆเดี๋ยวพี่ช่วยจับแขน ถ้าน้องไม่ดิ้นหลุดน้องจะเจ็บน้อยค่ะ”
คุณพยาบาลหนักแน่นที่จะให้แม่มีส่วนร่วมในเวลาสำคัญของลูกจนเธอจำยอมทำตาม
เมื่อผมจรดเข็มที่ไหล่ หนุ่มน้อยก็ร้องจ้าและดิ้นสุดแรงคุณแม่ปล่อยแขนที่กอดไว้
หวังชี้ชวนให้ลูกดูตุ๊กตาโมบาย “โอ๋ โน่นๆ ยีร้าฟ”
เข็มที่เข้าเนื้อไปแล้วก็หลุดออกมาต้องให้แทงใหม่อีกครั้ง
คุณแม่กอดแน่นดีก่อนฉีดแต่ปล่อยออกตอนฉีดทำให้น้องดิ้นได้และต้องเจ็บ ๒รอบ
หมายใจเบี่ยงเบนความสนใจลูกไม่ให้ร้องไห้ แต่ลืมไปว่าลูกจะดิ้นจนต้องเจ็บกว่าเดิม
หากคุณแม่หนักแน่นและมีทักษะการเลี้ยงดู อย่างถูกวิธีถูกเวลา
จะรู้ดีว่าการฉีดยาเป็นวิกฤติของลูกที่แม่จะเป็นคนพาหนูผ่านพ้นไปได้อย่างดีที่สุด
ทักษะการเลี้ยงดูลูกต้องลงมือเรียนรู้และทำเองอย่างสม่ำเสมอนะครับ
เลี้ยงลูกเองเหมือนกันค่ะ แต่สงสารตอนเค้าเจ็บ ไม่ค่อยอยากมองเท่าไหร่