ปรัชญาการศึกษาลัทธิสารัตถนิยม (5) :
การเรียนการสอนของลัทธิสารัตถนิยม(Essentialism)
การเรียนการสอนของลัทธิสารัตถนิยม(Essentialism) ถือว่าเป็นการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นการบรรยาย การทบทวนตำรา เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งเป็นการถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ เพราะเห็นว่า การเรียนการสอนโดยธรรมชาติแล้ว เป็นงานที่หนักและมักจะไม่มุ่งหวังที่จะให้มีการนำไปใช้อย่างทันท่วงที ดังที่ อริสโตเติล ได้มีแนวคิดว่า เยาวชนไม่ควรได้รับการสอนให้สนุกขบขัน เพราะการเรียนไม่ใช่เรื่องสนุกขบขัน แต่เป็นเรื่องที่ต้องพบกับความเจ็บปวด แตกต่างจากเพลโตที่กล่าวว่า การศึกษาของเด็กๆ นั้น จะต้องไม่เป็นการบังคับหรือให้เรียนสิ่งที่ยากเกินวิสัย การเรียนจะต้องทำให้เกิดความสนุกไม่ให้เป็นการทรมาน เป็นที่บริหารใจ เป็นสนามเด็กเล่น ที่แสวงหาปัญญา
การเรียนการสอนจึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออกอย่างไม่จำกัด ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการและตรงกับวัยของผู้เรียน ขณะเดียวกัน สารัตถนิยมก็เน้น “Mastery Learning” คือ มุ่งให้นักเรียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ได้ครบตามวัตถุประสงค์และมาตรฐานวิชาการของแต่ละวิชา และสอดคล้องหรือส่งเสริมให้เกิดขบวนการ “Back-to-Basic”
จากแนวคิดเหล่านี้ เมื่อการเรียนเป็นงานหนักเช่นนี้ ความมีระเบียบวินัยที่เคร่งครัดจึงเป็น สิ่งสำคัญ โดยการเรียนไม่ได้เน้นความสนใจในปัจจุบันของผู้เรียน หากแต่จะชี้ให้เห็นถึงผลอันเป็นจุดหมายปลายทางในอนาคต และการเรียนนั้นไม่คำนึงถึงความสนใจส่วนตัวของเด็ก แต่จะปลูกฝังให้เกิดความมานะพยายามที่อยากจะเรียนรู้ แต่ลักษณะเช่นนี้เป็นเพียงความสนใจขั้นต้นเท่านั้น ในระดับสูงและในเรื่องที่ยากขึ้นๆ ไป ความสนใจจะไม่เกิดขึ้นทันทีในเบื้องต้น แต่จะเกิดขึ้นจากการที่ได้ทำงานยากๆ
ฉะนั้นจึงไม่เป็นที่สนใจแก่ผู้เรียนในระยะแรก การเรียนการสอนยังคงต้อง มีการปรับให้เหมาะสมกับผู้เรียนอยู่ เพราะนักคิด แต่ละคนในลัทธินี้ก็ยัง มีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่มีจุดหมาย ในเรื่องเดียวกันคือ มุ่งทั้งการพัฒนา ทั้งร่างกาย และจิตใจ หรือ ปัญญาของผู้เรียน ถ้าหากว่าเราไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถที่จะทำงานหนักตั้งแต่แรกเริ่มแล้วผู้เรียนก็จะประสบกับความลำบากในการที่จะสร้างวินัยในตัวขึ้นมาในภายหลัง นักเรียนส่วนมากแล้วจะสามารถบังคับตัวเองได้
เพลโตจึงเห็นว่า “จิตใจ” ของคนเป็นสิ่งมีชีวิต คือมีความเจริญเติบโตเหมือนกับสิงที่มีชีวิตทั้งหลาย ปรัชญาการศึกษาของเพลโต จึงแบ่งออกได้เป็น ๔ ประการคือ
สร้างปัญญา
จิตใจ
ระงับตัณหา
สร้างความยุติธรรม
เป็นการศึกษาที่เป็นขั้นตอน เพื่อจะให้ผู้เรียนมีโอกาสได้รู้ความเป็นจริงของโลกตามสภาวะที่แท้จริงของมัน ไม่ใช่เพื่อที่จะหาทางแปลความหมายของความรู้เหล่านั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนปรารถนา หรือไม่ใช่จะรับความรู้ผิดๆ อะไรก็ได้ตามใจที่ตนชอบ แต่ความรู้ที่ให้แก่เด็กนั้นต้องเป็นเนื้อหาที่ได้จัดและเลือกสรรไว้เป็นอย่างดีแล้วเพราะถ้าหากว่า การเรียนการสอนสามารถพัฒนาให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายดังนี้ได้ก็ย่อมเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งตัวผู้เรียน และสังคม ซึ่งก็ต้องอาศัยการเรียนการสอนที่มาจากผู้สอนที่ชำนาญ
จะเห็นได้ว่า การเรียนการสอนของลัทธิสารัตถนิยมนั้น เป็นการนำเอาเนื้อหาวิชาที่เลือกสรรแล้วเชื่อมโยงให้ประสานกัน ซึ่งหลักการข้อนี้เป็นไปตามทรรศนะของนักปรัชญาสารัตถนิยมฝ่ายวัตถุนิยม ที่มีความเชื่อว่า สภาพทางวัตถุและสิ่งแวดล้อมทางสังคม เป็นปัจจัยที่คอยกำหนดว่ามนุษย์ควรจะอยู่อย่างไร จึงเห็นว่าการศึกษาควรจะช่วยให้เอกัตถบุคคล ได้ตระหนักในศักยภาพ หรือความสามามารถของตนเอง แต่การตระหนัก การเข้าใจในความสามารถของตนเองเช่นนั้น ไม่ใช่เป็นการนำให้บุคคลทำอะไรตามความสามารถและความพอใจของแต่ละคน หากแต่จะช่วยให้รู้จักตัวเองเพื่อจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของสังคม ของธรรมชาติและของโลก ความศักยภาพของตนเองที่เป็นจริง
โดยสรุป แนวคิดของลัทธิสารัตถนิยม มีประวัติความเป็นมา จากแนวคิดของอุดมคตินิยม จิตนิยม สสารนิยมบางส่วน มีความเจริญเป็นระบบมากขึ้น เมื่อมีนักการศึกษาของอเมริกันตั้งเป็นสมาคม
จุดมุ่งหมายการศึกษาของลัทธิ ต้องการพัฒนาให้ผู้เรียนมีจิตใจที่สูงส่งมีคุณธรรมดีเลิศ ซึ่งจะเกิดได้ก็โดยการปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่มาจากอดีต ที่เชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่ดีงามแล้ว วิชาการต่างๆ ก็ต้องศึกษางานจำพวกที่เป็นผลงานที่ยอมรับกันว่าดีเลิศ (Great book) หรือเป็นผลงานที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้น หรือช่วยให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งให้ผู้เรียนจะต้องน้อมนำเอาคำสอนไปปฏิบัติให้ได้ เป็นแนวคิดที่ยึดเอาผู้สอนเป็นศูนย์กลาง
ด้วยเมตตาธรรมค้ำจุนโลกา
ก็คือ................
การเรียนการสอนของลัทธิสารัตถนิยมนั้น เป็นการนำเอาเนื้อหาวิชาที่เลือกสรรแล้วเชื่อมโยงให้ประสานกัน ซึ่งหลักการข้อนี้เป็นไปตามทรรศนะของนักปรัชญาสารัตถนิยม จากแนวคิดของอุดมคตินิยม จิตนิยม สสารนิยมบางส่วน คือ สหนานาวิทยาที่รวมแล้วเป็นเรื่องเดียวกันได้..กระผมเข้าใจแบบนี้ครับ.ท่านพระอาจารย์