ผมเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องราวระหว่างทางไม่แพ้ปลายทาง
ด้วยเหตุเช่นนี้ โครงการศิลปวัฒนธรรมอีสานสัญจรจึงเกิดขึ้นในวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ โรงนาบ้านไร่ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย
ครับ,เดิมมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีภารกิจสำคัญที่จะต้องเดินทางไปร่วมงานโครงการสานสัมพันธ์มิตรภาพไทย-ลาว ครั้งที่ ๑๑ ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย โดยทีมงานที่เดินทางไปประกอบด้วยบุคลากรจากกองกิจการนิสิต อาจารย์และนิสิตจากคณะศิลปกรรมศาสตร์,วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ รวมถึงนิสิตจากชาว “วงแคน”
ในช่วงการเตรียมการนั้น ผมบอกเล่ากับผู้รับผิดชอบโครงการในทำนองของการเสนอแนะตามประสา “พี่น้อง” ว่าควรจัดกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ระหว่างเส้นทาง ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตามุ่งไปยังจุดหมายแบบไม่ลืมหูลืมตา
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ย่อมแสดงว่าเราลงทุนหลักแสน ขนคนไปมากกว่า ๔๐ คน เพียงเพื่อขึ้นเวทีเล่น ”วงโปงลาง” แค่ไม่ถึง ๒๐ นาที
ครับ, โดยเนื้อแท้ ผมไม่ได้ถึงขั้นฟันธงว่า “คุ้ม” หรือ “ไม่คุ้ม” เรื่อง “เงิน” หรอกนะครับ
หากแต่กำลังจะบอกว่าการเรียนรู้ไม่ได้อยู่แต่ละเฉพาะ “ปลายทาง” เท่านั้น เพราะเรื่องราวระหว่างทางย่อมมีค่าและมูลค่าไม่แพ้กัน แถมยังเป็นปัจจัยอันวิเศษในการเกื้อหนุนให้ปลายทางกลายเป็นสิ่งควรค่าต่อการไขว่คว้า
หรือแม้แต่คิดง่ายๆ แบบนักเลงลูกทุ่งว่า ถ้าไม่แวะเรียนรู้ระหว่างทางตอนนี้ อีกนานแค่ไหนล่ะที่จะมี “โอกาส” ได้กลับไปเยือน เพื่อการเรียนรู้ในเส้นทางสายนั้นอีกครั้ง...
แน่นอนครับ, สำหรับผมแนวคิดทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งคิดและเพิ่มพูด
๓-๔ ปีก่อนเมื่อครั้งที่กำกับดูแลกลุ่มงานกิจกรรมนิสิต ผมก็ได้คิดและทำในทำนองนี้ชัดเจน
ครั้งกระโน้น, แทนที่จะยกขุนพลโปงลางมุ่งหน้าไปงานศิลปวัฒนธรรม (สกอ.) ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ ผมก็มอบหมายให้บุคลากรและนิสิตแวะเรียนรู้ระหว่างทางที่ทุ่งเขาหลวง จ.สุโขทัยด้วยเช่นกัน โดยอาศัยเครือข่ายศิษย์เก่าที่เป็นนักคิดนักเขียน (สัญญา พานิชยเวช) เป็นเจ้าภาพร่วมดำเนินการ
ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมก้าวล้ำให้คำแนะนำในมิติของพี่ๆ น้องๆ มิได้ก้าวล้ำเข้าไปในสถานะของการกำกับดูแลอะไรทั้งสิ้น ซึ่งเบื้องต้นผมได้ขันอาสาประสานพื้นที่และแนวทางบางอย่างไว้ให้อย่างกว้างๆ
ครับ เป็นการประสานงานอย่างกว้างๆ เพราะผมไม่มีสถานะใดในทางการบริหาร
และไม่มีสิทธิ์ “ฟันธง” ใดๆ จึงได้แต่แนะนำ และเกริ่นกล่าวนำร่องไปพรางๆ -
แน่นอนครับ, หลากคนย่อมหลากความคิด
ในเวทีการหารือเบื้องต้นนั้น หลายต่อหลายท่านโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีสถานะและบทบาทที่สูงเด่นกว่าผมดูจะไม่เข้าใจ หรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมคิด ดังจะเห็นได้จากการสะท้อนมุมคิดหรือคำถามนานาประการ เช่น ถามนิสิตหรือยังว่าอยากทำหรือไม่ นิสิตจะเหนื่อยไหม มีงบประมาณมั๊ย จะได้อะไรจากตรงนั้น จะมีการประเมินและการจัดเก็บหลักฐานต่างๆ อย่างไร ตอบโจทย์การเรียนรู้อะไรบ้าง
การแสดงของเด็กและเยาวชนในท้องถิ่น (เจ้าภาพ)
ในเวทีที่ว่านั้น ยอมรับว่าผมไม่ค่อยมีความสุขที่จะอธิบายอะไรให้ยืดยาวนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีภารกิจทับซ้อนที่ต้องรีบออกไปประชุมอีกเวทีหนึ่ง กอปรกับความขุ่นข้องเล็กๆ ต่ออดีตทีมงานที่ไม่ได้ร่วมสะท้อน “ข้อมูล” เดิมๆ ให้เหล่าบรรดาผู้มีบทบาทและสถานะได้เข้าใจ เพื่อประกอบการพิจารณาใคร่ครวญ จนก่อเกิดการพิพากษาโดยปราศจาก “ข้อมูล” หรือ “คลังความรู้” ซึ่งคล้ายกับการมองว่า “ที่ผ่านมา...ไม่มีชุดความรู้ใดหลงเหลือให้สืบค้นต่อยอดได้เลย” (ทั้งๆ ที่ผมและทีมงานได้สร้างและปั้นแต่งไว้กองโตยังกับภูเขา)
หรือในอีกมุมหนึ่ง, ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าเหล่าบรรดาทีมงานเก่านั้น ได้ทำงานอย่างเป็น “ทีม”กันแค่ไหน มีการถ่ายโอนความรู้ หรือการหยิบจับความรู้เดิมๆ มา “สะสาง ต่อยอด” แค่ไหน เสมือนการทำงานโดยไม่สนใจฐานข้อมูลเดิมนั่นแหละ –
ครับ,หลังจากนั้น ผมก็ถอนทัพออกจากงานนี้ ผันตัวเองมาจับงานหลักของตัวเอง ปล่อยให้ผู้รับผิดชอบได้ขับเคลื่อนเรื่องนี้ด้วยตนเอง โดยชี้เป้าไปยังบุคคลและพื้นที่ของการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย “ได้คิด-ได้ตัดสินใจ-ได้ลงมือทำ” ด้วยตนเอง มากกว่าการติดยึดอยู่กับ “เงาความคิด” ของผม
ซึ่งที่สุดแล้ว การงานที่ว่านั้นก็ลงเอยตรงที่การแวะเรียนรู้ระหว่างทางอยู่วันยังค่ำ
อย่างไรก็ดี การถอนตัวของผม ก็มิได้หมายถึงถอนตัวออกจากกิจกรรมที่ว่านี้อย่างสิ้นเชิง หากแต่ยังคงติดตามหนุนเสริมอยู่ห่างๆ ให้คำแนะนำในเรื่องการเตรียมความพร้อม (ปฐมนิเทศ)
หรือแม้แต่การแนะนำให้นำพานิทรรศการเก่าๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้กลับมาให้นิสิตและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องได้รับรู้และทำความเข้าใจร่วมกัน มิใช่ดุ่มเดินไปปลายทางโดยไม่มีการเตรียมความพร้อม
แน่นอนครับ กระบวนการเตรียมความพร้อมที่ว่านั้น
ในมุมของผม, ผมไม่ได้มองแค่การทำความเข้าใจต่อการงานที่จะมีขึ้นเพียงอย่างเดียว หากแต่หมายถึงการกระชับพื้นที่ให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องได้รับรู้ถึง “บทบาท-หน้าที่” ที่ต้องทำ มิใช่ขนกันไปเป็นกองทัพ แต่ไม่ส่งมอบอาวุธให้จับให้ถือ
ครับ, โดยส่วนตัวผมยืนยันว่ามีความสุขกับการปลงใจแวะเรียนรู้ระหว่างทางในวิถีที่เพิ่งเกิดขึ้น และยืนยันว่า ผมไม่พูดถึงความคุ้มทุนเกี่ยวกับงบประมาณที่ลงไปว่าเป็นอย่างไร แต่สุขใจที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกล้าหาญที่จะสานต่อภารกิจการเรียนรู้ในทำนองนี้
คิดดูเถอะครับ, การแวะจัดกิจกรรมและค้างแรมระหว่างทางดังที่ว่านี้ ถือเป็นเสมือนการออกค่ายในมิติหนึ่งเลยทีเดียว ทั้งนิสิต อาจารย์และบุคลากรได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ละลายพฤติกรรมทางกายและใจร่วมกัน เสมือนการหลอมรวมพลังครั้งใหญ่ก่อนการสื่อแสดง ณ จุดหมายปลายทางที่ปักธงไว้
คิดดูเถอะครับ, การแวะจัดกิจกรรมและค้างแรมในสถานที่เช่นนั้น ย่อมฝึกฝนให้นิสิตได้เรียนรู้ถึงความอดทน ได้ทดสอบชุดความรู้ หรือลับคมความรู้ที่กำลังจะนำไปสื่อแสดง ณ จุดหมายปลายทาง รวมถึงการได้สัมผัสประสบการณ์ต่างถิ่น สัมผัสกลิ่นอายวัฒนธรรมต่างชาติพันธุ์จากคนพื้นถิ่น (เจ้าภาพ) ที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ น้ำใจ และความงดงามในหลากมิติ
หรือแม้แต่การสร้างเวทีให้เด้กและเยาวชนในท้องถิ่นได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ บ่มเพาะ หรือชี้วัดสภาวะเรื่องจิตสำนึกรักษ์ท้องถิ่นไปในตัว
คิดดูเถอะครับ, การแวะจัดกิจกรรมและค้างแรมในสถานที่เช่นนั้น ย่อมช่วยให้แต่ละคนได้หยุดนิ่ง เรียกสติ ฟังเสียงหัวใจของตนเองอีกครั้งอย่างไม่รีบเร่ง ทั้งยังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตกับศิษย์เก่า รวมถึงการได้รับรู้ว่าการมีความฝันและซื่อสัตย์ต่อความฝันด้วยการลงมือทำนั้น มันยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์สักแค่ไหน ด้วยการเรียนรู้ผ่านวิถีชีวิตของ "เจ้าสัญ" หรือ "สัญญา พานิชยเวช" ผู้เป็นเจ้าภาพระหว่างเส้นทางที่ว่านี้ ซึ่งการแลกเปลี่ยนที่ว่านั้น ก็คือการแบ่งปันและเติมพลังชีวิตให้แก่กันและกันดีๆ นั่นเอง
คิดดูเถอะครับ, การแวะจัดกิจกรรมและค้างแรมในสถานที่เช่นนั้น ย่อมยืนยันกระบวนการคิดต่อนิสิตผ่านวาทกรรมที่ผมเขียนขึ้นเมื่อหลายปีก่อนว่า “ไม่มีที่ใดปราศจากเรื่องเล่า...ไม่มีที่ใดปราศจากการเรียนรู้ และความรู้...เว้นแต่เราจะไม่เปิดใจเรียนรู้”
อย่างไรก็ดี ถึงแม้โครงการนี้จะไม่มีการปฐมนิเทศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะลงมือทำ ตามหลักคิด “รู้ตัวตนโครงการ” แต่ผมก็เชื่อว่าทีมที่รับผิดชอบสามารถประยุกต์กระบวนการต่างๆ หนุนเสริมนิสิตเข้าไปได้เองอยู่วันยังค่ำ
รวมถึงคงมีการมอบหมายภารกิจต่อกันและกันอยู่ดี เพราะอย่างน้อยผู้หลักผู้ใหญ่ก็ร่วมเดินทางไปกันตั้งหลายคน คงพอแนะนำสิ่งต่างๆ หรือกระตุ้นให้เกิดบรรยากาศของการ “มีส่วนร่วม” ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
และจวบจนบัดนี้ ผมเองก็ยังไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับผู้คนที่เกี่ยวข้องเลยว่า “เรื่องราวการเรียนรู้ระหว่างทางงดงามแค่ไหน มันหนุนส่งให้ปลายทางดูงดงามและควรค่าต่อการไขว่คว้าหรือไม่”
หรือแม้แต่พวกเขาพบเจอสิ่งใด เก็บเกี่ยวมันอย่างไร และข้ามพ้นมันอย่างไร
และที่สำคัญมากๆ เลยก็คือ พวกเขามีความสุขกับการแวะเรียนรู้ระหว่างทางหรือไม่
หรือมันเป็นความสุขบ้าๆ บอๆ ของผมคนเดียว – คนเดียวจริงๆ
การแสดงที่บูรณาการระหว่างวงแคน,ดุริยางคศิลป์,คณะศิลปกรรมศาสตร์
หมายเหตุ :
ภาพจากคุณจันเพ็ญ ศรีดาว, อติรุจ อัคมูล
และทีมงาน
“เรื่องราวการเรียนรู้ระหว่างทางงดงามแค่ไหน มันหนุนส่งให้ปลายทางดูงดงามและควรค่าต่อการไขว่คว้าหรือไม่”
คำตอบของครูนก...งดงามตลอดเส้นทางหากเราใส่ใจ ไขว้คว้าจะเรียนรู้หรือเฝ้าดูอย่างใส่ใจค่ะ
ปลายทางสำหรับบางใคร อาจแค่ระหว่างทางของบางใคร
บางทีจุดหมายก็ต้องไม่มีปลายทาง เพราะระหว่างทางเสมือนปลายทางของจุหมาย
อุปสรรคไม่ใช่กำแพงแต่เป็นประตูครับ
การแวะระหว่างเส้นทางครั้งนี้....บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นเป็ันกันเอง ชุมชนเหมือนเฝ้ารอคอยการมาเยือนอีกครั้งของลูกหลานชาว มมส รอร่วมต้อนรับ ร่วมรับชม ร่วมแลกเปลี่ยนศิลปะท้องถิ่นให้กับแขกที่มีเยือนอย่างเราๆด้วยความตั้งใจเต็มใจที่จะมอบให้อย่างมีความสุข...ถือว่าเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้นิสิตเองได้เรียนรู้และเห็นความสำคัญของเส้นทางที่ก้าวผ่านไปแต่ละก้าวว่าสำคัญไม่ต่างจากจุดหมายปลายทางเลย....