'จดหมายเปิดผนึกถึงคุณอาสืบ นาคะเสถียร' ฉบับที่ 1


สวัสดีค่ะคุณอา

หนูเป็นคนรุ่นหลังคุณอานานพอสมควรค่ะ ไม่ว่าจะนับรุ่น KU หรือรุ่นกว่าจะรู้บุญคุณธรรมชาติและสัตว์ป่า

ก่อนหน้านี้หนู'คิดเอาเอง'ว่าหนูรู้จักคุณอา ทั้งจากหนังสือที่อ่าน จากเพลงที่ฟัง (คุณอาคงเห็นจากบนฟ้า ว่าตอนที่หนูเขียนจม.ฉบับนี้ เสียงเพลงของพี่แอ๊ด คาราบาว ยังสะท้อนสะเทือนลำโพง... สืบบบบ นาคะเสถียรรรร เป็นบทเรียนของกรมป่าไม้ ... แปลกนะคะ เรามี'บทเรียน' หลังการสูญเสียทุกที แต่เรากลับไม่เคยเรียนรู้มันจริงๆเลย !?)

ในวันที่หนูไปยืนนิ่งๆหน้าบ้านคุณอา (หนูไม่กล้าขึ้นไป เพราะหนูคิดว่าการระลึกถึงใครสักคน ควรให้เวลามองดูสิ่งที่เขาเห็น ซึมซับสิ่งที่เขารู้สึก ด้วยความเงียบในหัวใจตัวเอง) ...หนูได้รู้ว่า การที่ใครสักคนเลือกเดินจากไป ในอ้อมกอดของธรรมชาติ ในอ้อมกอดของสิ่งที่หวงแหนและพยายามพูดแทนในหลายๆที่ มันไม่ง่ายเลย...คุณอาใช้เวลาตัดใจนานเท่าไรคะ

หนูมีทฤษฎีมากมายในหัวที่พูดเรื่องของคนตัดสินใจฆ่าตัวตาย...แต่สิ่งที่หนู ได้ยินจากหัวใจตัวเองเมื่อยืนอยู่หน้าบ้านคุณอาคือเสียงกระซิบบอกว่า 'คนที่ฆ่าตัวตายนั้นเขาต้องไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ ถึงจะทำได้' ...ความไม่มีที่พูดถึง คือการถูกทอดทิ้งทางจิตใจ ไม่ใช่เรื่องทางร่างกายใช่มั้ยคะคุณอา

เมื่อมนุษย์คนหนึ่ง ตัดสินใจฆ่าตัวตาย มันบอกเป็นนัยๆว่า เขาคนนั้นเดินจนสุดซอยแล้ว (สุดซอยตอนนี้เป็นศัพท์ฮิตค่ะ) ... เขาเคยพยายามหาคนคุยด้วยหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ...ไม่มีใครรับสัญญาณจากเขา...แล้วเราก็เสียคุณอาไป

หนูไม่รู้ว่าเมื่อคุณอามองลงมาจากฟ้า ภาพห้วยขาแข้งและผืนป่าตะวันตกที่คุณอาเห็นตอนนี้ เป็นสิ่งที่คุณอาวาดฝันไว้หรือเปล่า รวมทั้งถ้าคุณอารู้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งพยายามสร้างเขื่อนในพื้นที่อุทยานฯ คุณอาจะเต้นผางอยู่ข้างบนนั้นมั้ย ...แต่หนูรู้ว่ามีคนอีกไม่น้อย ที่ไม่ยอมให้เกิดขึ้นค่ะ ถ้าคุณอาจะตะแล๊บแก๊ปมาด่า กรุณาส่งไปให้ถูกคนนะคะ

มีคนนำอุดมการณ์และแนวคิดของคุณอามาสืบสาน สร้างเสริมมากมาย แต่สิ่งที่หนูชอบ(ถึงจำได้) คือ..การใช้ 'วิชาการนำการจัดการ'...มันใช่เลยล่ะค่ะคุณอา ถ้าเราไม่มีความรู้ เราจะจัดการไม่ได้ดี และถ้าเราไม่มีความรักที่จะเรียนรู้ ความรู้ก็ไม่เกิดแน่นอน แต่จะกลายพันธุ์เป็นการ'เลียนและคิดว่ารู้' แทน

นอกจากนี้หนูยังชอบแนวคิด'ป่ากันชน' ที่คุณอาพยายามผลักดัน และท่านหัวหน้าอุทยานฯห้วยขาแข้งคนปัจจุบันก็เห็นชอบ รวมทั้งขยายเป็น'ป่าสามชั้น' คือ

1.ป่ากันชนที่เป็น Buffer ของแนวขอบอุทยานฯ ซึ่งตรงนี้ ส.ป.ก. น่าจะเป็นหน่วยงานหลักอีกหนึ่งที่จะช่วยสานต่อได้เลยค่ะ สมัยคุณอามีหน่วยงานส.ป.ก.หรือยังคะ ไว้หนูจะเล่าให้ฟังโดยละเอียดอีกทีแล้วกันค่ะ ตอนนี้ทราบคร่าวๆก่อนว่า เขามีภารกิจการดำเนินงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ 3 ประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ 'งานจัดที่ดิน' อันเป็นการสนับสนุนให้เกษตรกรได้เป็นเจ้าของที่ดินภายใต้กฏหมายการปฏิรูป ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยดำเนินการในที่ดิน 2 ประเภท ได้แก่ ที่ดินของรัฐ และที่ดินเอกชน ซึ่งที่ดินของรัฐ ก็เช่น ป่าสงวนแห่งชาติที่เสื่อมสภาพ ที่จำแนกเป็นที่จัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรี ที่สาธารณประโยชน์ที่ราษฎรเลิกใช้ร่วมกัน ที่สาธารณสมบัติแผ่นดิน และที่รกร้างว่างเปล่าที่อยู่นอกเขตป่าไม้ถาวร ดังนั้น ป่ากันชนจึงเป็นการทำงานร่วมของกรมป่าไม้ กับ ส.ป.ก. และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องได้เลยไงคะ...เหมือนที่คุณอาเคยพูด 'เป็นไปได้ไหม ที่รัฐบาลจะเปิดใจกว้าง ให้ทุกฝ่ายทั้งประชาชน ผู้นำท้องถิ่น ผู้แทนราษฎร (แต่หนูว่าถ้าไม่จำเป็นก็ตัดอันนี้ออกน่าจะได้มั้งคะ) นักวิชาการที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยร่วมกัน....ทำเป็น'สวนป่า' แบบของพ่อครูบาสุทธินันท์ก็เข้าท่าดีนะคะ ได้ทั้งทำกิน เก็บกิน เก็บขาย และตัดขาย ทำไมเราต้องใช้ประโยชน์ที่ดินแบบเดียว

2. ป่าชุมชน อันนี้ท่านหัวหน้าอุทยานฯ เขยิบเข้าไปในชุมชนที่อยู่รอบๆแล้วค่ะ พวกเขาจะกลายเป็นรั้วมนุษย์ให้เราอีกทีหนึ่ง อยากกินอะไร อยากเก็บอะไร อยากเอาพืชอะไรเป็นยา ก็เอาไปปลูกในพื้นที่ว่างๆของชุมชน แล้วช่วยกันดูแลรักษา และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้อีกด้วย มีป่าก็มีน้ำใช่มั้ยคะ

3. ป่าในครัวเรือน บ้านใครอยากกินอะไรก็ปลูกไว้ข้างๆบ้าน อยากมีต้นไม้แบบไหน ก็ปลูกไป แล้วเอามาแลกกัน แบ่งปันกันกิน น่าจะน่ารักดีค่ะ กลับไปสู่ชีวิตเรียบง่าย พอเพียงอย่างพระองค์ท่านสอน

แต่หนูอยากจะแถมอีกชั้นหนึ่ง คือป่าชั้นที่ 4. ป่าในหัวใจคนค่ะคุณอา ถ้าเราอยากให้คนรู้คุณค่าป่า เราต้องให้เขามาสัมผัสป่า สัมผัสชีวิตน้อยๆหลายๆตัวในป่าแบบยังเห็นเป็นๆอยู่ไม่ใช่นอนตายแหงแก๋ เอาหัวประดับฝา เอาหนังปูพื้น เพราะจิตสำนึกไม่มีทางสร้างได้จากการอ่าน หรือพูดปาวๆแน่ๆค่ะ ...คนเราจะรู้คุณค่าและรักสิ่งใด ต้องให้เวลากับสิ่งนั้นนะคะ หนูถึงอยากเสนอว่า เอาผู้พิพากษา อัยการ นักข่าว กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ส.ส(ก็ได้ค่ะ) ฯลฯ มาเดินป่า เที่ยวป่า นอนป่า กันดูบ้าง จัดเดินขึ้นมออีหืดเหมือนพวกหนูขึ้นก็ได้ค่ะ หนูเชื่อว่าความคิดเขาจะเปลี่ยน! และจะรู้คุณค่าลมหายใจในพื้นที่สะอาด สดชื่น รวมทั้งความเมตตาของธรรมชาติที่ให้สิ่งเหล่านี้แก่เราฟรีๆมากขึ้นเยอะค่ะ ...

จดหมายหนูชักยาวแล้ว ไว้หนูจะเขียนมาคุยใหม่นะคะ

รักและเคารพ

หลานคุณอา

(นางสาว วิมลรัตน์ ชัยปราการ)

หมายเลขบันทึก: 556220เขียนเมื่อ 12 ธันวาคม 2013 23:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 ธันวาคม 2013 23:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เรียนท่านที่เข้ามาอ่านครับ

บันทึกนี้เป็นของเบิร์ด หรือ วิมลรัตน์ ชัยปราการ ครับ ผมเอามาใส่ใน "ขีดเขียนถึงห้วยขาแข้ง" เพราะต้องการรวบรวมบันทึกของทุกท่านที่ไปร่วมงานเฮฮาศาสตร์ครั้งี่ 10 ที่ห้วยขาแข้งที่ ส.ป.ก.โดยมีผมเป็นคนจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-10 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีเงื่อนไขคร่าวๆว่า สมาชิกจะต้องเขียนบันทึกให้ผม เพื่อนำส่งท่านเลขาธิการ ส.ป.ก. เพื่อพิจารณาจัดพิมพ์ต่อไปครับ

ต่อไปสมาชิกท่านใดที่เข้าร่วมเฮฮาศาสตร์ครั้งที่ 10 ห้วยขาแข้งและเขียนบันทึก ผมจะเอามาใส่ตรงนี้ หรือ ท่านผู้นั้นเขียนใน blog ของท่านผู้นั้น ผมก็จะตามไปรวบรวมมาไว้ในนี้ด้วยครับ

สวัสดีค่ะ พี่ bangsai เสียดายมากค่ะที่ไม่ได้ไปด้วย

เพราะติดภาระกิจที่บ้านเกิดค่ะ

อยากไปเดินป่า อยากไปดูห้วยขาแข้งในตำนานมีชีวิตค่ะ

สวัสดีครับ Lily โอกาสหน้ามีอยู่ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท