เรื่องนี้...ดองไว้จนได้ที่ จนถึงวันนี้ลูกปั่นจักรยาน 2 ล้อได้แบบสบาย ๆ แล้ว ว่าจะ ๆ แล้วก็ว่าจะแบ่งปันกันอยู่นั่น แล้วก็ล่วงเลยผ่านมานานทีเดียว....ขอย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่ผ่านมานี้ อยู่ ๆ ก็มีอะไรบางอย่างดลใจ แม่ดาวให้ถามลูกชายว่า “ลูกพร้อมจะหัดขี่จักรยาน 2 ล้อหรือยัง” เป็นเพียงการโยนหินถามทาง ไม่ได้คาดหวังกับคำตอบอะไร และคำตอบที่ได้คือ “พร้อมแม่ ดีโด้อยากขี่จักรยาน 2 ล้อ เย็นนี้เราไปหัดขี่กันนะ” และนี่คือเสียงตอบรับใส ๆ แววตาเป็นประกายจากลูกชายตัวน้อย ๆ ของแม่ดาววัย 6.5 ปี โดยประมาณ
เรื่องการหัดขี่จักรยาน 2 ล้อนี่ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาหัด ก่อนหน้านี้ในวัยประมาณ 4-5 ขวบก็เคยหัดอยู่สัก 2-3 ครั้งได้ แต่ไม่สำเร็จ แต่ละครั้งที่หัดให้ ก็จะมีอะไรบางอย่างมาสะกิดใจ เช่น รร.พาไปเที่ยวเมืองจราจรจำลองที่สวนรถไฟ เห็นเพื่อน ๆ ขี่จักรยาน 2 ล้อได้ เจ้าตัวก็เกิดความอยากจะทำได้แบบเพื่อนบ้าง หรือ เห็นเพื่อนที่สนิทกันตัวเล็กกว่า ขี่จักรยาน 2 ล้อได้ ก็เกิดอาการอยากอีกล่ะ อยากจะขี่ได้แบบเพื่อนบ้าง ประมาณว่า คิดว่าตัวเองตัวโตกว่า ดูแข็งแรงกว่า ก็ควรจะทำได้แน่ ๆ แต่สุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่าฮ่าๆๆๆ ส่วนตัวแม่ดาวเองคิดว่าเด็กแต่ละคนเขาไม่ความพร้อมต่างกัน พร้อมในความหมายนี้คือ พร้อมในเรื่องทักษะทางกาย และพร้อมในเรื่องหัวใจ น้องดีโด้นั้นแม่ดาวเห็นว่าเขามีความพร้อมทางกาย แต่ในเรื่องทางใจนั้น ณ เวลานั้นยังพร่องอยู่มาก มีแต่ความอยาก แต่ยังขาดความพยายาม ความอดทน จะว่าไปคิดว่าความอยากคงไม่มากพอที่จะกระตุ้นให้เกิดความฮึดสู้
จากวันนั้นเวลาก็ล่วงเลย แต่ก็ไม่ได้นิ่งเฉย มีกระตุ้นบ้างเสริมแรงจูงใจ เช่น เวลาที่ไปขี่จักรยานด้วยกัน มักจะบอกว่า การขี่ 2 ล้อมันดีอย่างไร แม่สนุกอย่างไร รู้สึกอย่างไร เมื่อตอนที่แม่เป็นเด็ก ความรู้สึกการขี่จักรยาน 4 ล้อ กับ 2 ล้อ ความสนุกประสบการณ์ในวัยเด็กของแม่ในการหัดขี่จักรยาน เหล่านี้ก็คุย ๆ กันไปแบบเหมือนน้ำซึมบ่อทราย ไม่ได้อัด ไม่ได้กดดัน แต่คุยกันแบบสบาย ๆ ที่สำคัญไม่เปรียบเทียบตัวลูกเรา กับลูกใคร แต่ส่วนตัวนิสัยลูกตัวเองนี่มักจะชอบนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นบ่อยครั้ง อาการนี้เกิดขึ้นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เข้าเรียน อาจด้วยสังคมปัจจุบันที่ถูกเร้าให้เด็กรู้สึกว่าต้องแข่งขันกันตลอดเวลา เมื่อสังคมเร้าเร่ง เราผู้เป็นแม่ก็มีหน้าที่ต้องลดึงฉุดถ่วงให้ช้าอีกนิด ช้าอีกนิดก็ได้นะ...ว่าไหม
เวลาลูกเกิดอาการนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น หากชอบเปรียบเทียบ เราจึงเปรียบเทียบบ้างให้เขาเข้าใจอีกมุม โดยถามจากเขานี่แหละ เช่น เพื่อน ๆ ในห้องลูกมีใครที่ลูกเห็นว่าเขาขี่ 2 ล้อได้ (ซึ่งมั่นใจว่ามีอยู่ไม่มากนัก) /นับแล้วมีกี่คน (แอบสอนบวกเลข) / แล้วที่เหลือมีกี่คนที่ขี่จักรยาน 2 ล้อไม่ได้ (อนุญาติให้บวกเลขในกระดาษได้ฮ่าๆๆๆ) / สรุปคือคนที่ขี่ 2 ล้อได้มีมากกว่าหรือน้อยกว่าคนที่ขี่จักรยาน 2 ล้อไม่ได้ / แสดงว่าส่วนใหญ่เพื่อน ๆ หนูขี่จักรยานกี่ล้อได้นะ เหล่านี้เป็นตัวอย่างคำถามที่แม่ดาวถามลูก ที่ให้ลูกบวกเลขนั้นไม่ใช่จุดประสงค์หลักของการชวนคุย จุดประสงค์หลักคือการชี้ให้เขามองให้เห็นถึง ความจริงที่เป็นอยู่ ไม่ใช่เด็ก ๆ ทุกคนจะทำได้เหมือนกันพร้อมกัน การขี่จักรยานได้ก่อนเป็นเร็วนั้นไม่ได้หมายความว่า เด็กคนนั้นเก่ง หรือฉลาดกว่าใคร ส่วนคนที่ตอนนี้ยังขี่จักรยาน 2 ล้อไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะขี่ไม่ได้ตลอดชีวิต แล้วก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะฉลาดน้อยกว่า เก่งน้อยกว่าเด็กคนที่ขี่เป็นก่อน หากเขามีความพยายามอดทนฝึกฝน มีความพร้อมทั้งกายและใจสักวันเขาก็ทำได้เหมือนกัน รวมทั้งตัวลูกด้วยประมาณนี้ ตั้งแต่เข้าโรงเรียนมีหลายเหลือเกินที่ต้องพูดถึงเรื่อง “ความแตกต่าง/ความพร้อมของเด็กแต่ละคน/แต่ละวัย” ไม่อยากให้ลูกเปรียบเทียบตนเองกับใคร และอยากให้เขาค่อย ๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ เรื่องการยอมรับและเข้าใจถึงความแตกต่างเหล่านี้
เอาล่ะ มาเข้าเรื่องการหัดปั่น 2 ล้อ ในภาคปั่นได้สักที โดยนิสัยส่วนตัวน้องดีโด้เป็นเด็กขี้กลัวมากทีเดียว ยิ่งเกี่ยวกับการบาดเจ็บ เจ็บป่วย นี่เป็นเอามาก โดยสรุป กลัวตายมาก หากจะให้เล่าถึงสาเหตุจะยาวขอผ่านเนอะ วันแรกที่หัดก็ถามเขาว่าจะเอาล้อออก 2 ล้อเลย หรือเหลือล้อไว้ 1 ข้าง (หมายถึงมี 3 ล้อ) น้องดีโด้เลือกเอาออกหมด ตอบแบบมั่นใจมาก พอได้คำตอบที่นี้ก็ต้องหาอุปกรณ์ในการถอดล้อ เหล่านี้น้องดีโด้จัดการหาอุปกรณ์รู้ที่เก็บอุปกรณ์ และสามารถบอกว่าต้องใช้อะไรอย่างไร เรื่องนี้แม่ดาวก็ชื่นชม เมื่อเขาสนใจในเรื่องใด เขาจะใส่ใจ สังเกตุจดจำ ตัวแม่ดาวเองนี่ยังไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าสามีเก็บอุปกรณ์เหล่านี้ไว้ที่ใด
เมื่อถอด 2 ล้อออก ก็เริ่มต้นว่า ให้เขามองตรงไปข้างหน้า ทรงตัวให้ดี ให้อยู่ท่าเตรียมพร้อม คือ ทำให้ดูและพูด เช่น แม่ถนัดเอาเท้าซ้ายลงพื้นยันไว้แบบนี้ เท้าขวาแม่จะดันที่ถีบ(บันไดจักรยาน) ขึ้นมาแบบนี้ นี่คือท่าเตรียม จากนั้นค่อย ๆ เอาเท้าซ้ายที่ยันพื้นค่อย ๆ ดัน ๆ ส่งแรงไปเรื่อย ๆ พร้อมกับออกแรงถีบจากเท้าขวาไปพร้อม ๆ กัน ทำท่าทางประกอบ ทำการสาธิตให้ลูกดู จากนั้นก็ให้เขาลองทำดู เรียกว่าเข้าใจวิธีการแล้ว แต่ยังทรงตัวไม่ได้ ให้เขาลองไปเรื่อย ๆ สักพัก ก็ถามเขาว่า อยากให้แม่ช่วยจับให้ด้วยไหม เขาเองก็ตอบรับด้วยความยินดี อยากจะบอกว่ามัน เหนื่อยและเกร็งมากฮ่าๆๆ ทั้งต้องออกแรงจับ วิ่งตาม ปากก็พูด “ทรงตัวดี ๆ ลูก หลังตรง ไม่ต้องเกร็ง มองไปข้างหน้า ” พยายามแบบนั้นเป็นชั่วโมง ก็เหมือนจะได้ แต่ก็ไม่ได้สักที แต่ในใจเราไม่ได้คิดว่าลูกจะทำไม่ได้ เชื่อว่าเขาทำได้ ครั้งนี้มีหลาย ๆ อย่างที่บอกแม่ดาวแบบนั้น และบอกเป็นเสียงจากใจออกมาให้เขารับรู้ว่า “แม่เชื่อว่าลูกทำได้” ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามมาก ดูมุ่งมั่นที่จะฝึกอย่างจริงจัง ใจแม่นี่ไม่เหนื่อยเลยนะ แต่เหนื่อยกายมากฮ่าๆๆ อายุมากแล้วสังขารไม่ไหว นั่งหอบขอลูกพัก ลูกก็พยายามฝึกเองต่อไป
สักพักมีคุณลุงที่พักแฟลตเดียวกัน วิ่งออกกำลังกายเห็นใจ เขามาแนะนำว่า ตอนหัดให้ลูกชายเขานั้นจะเริ่มจาก 3 ล้อก่อน ฝึกการทรงตัวก่อน ตอนแรกน้องดีโด้ดูจะไม่ยอม ดึงดันจะฝึก 2 ล้อเลย แต่แม่ดาวกับคุณลุงท่านนั้นก็จูงใจแบบไม่ได้ขืนใจเขา สุดท้ายก็ตกลง เทคนิคที่คุณลุงแนะนำคือ ให้สังเกต ว่า ลูกมักล้มไปเอียงไปข้างใด ให้ใส่ล้อข้างนั้นค้ำเอาไว้ช่วยทรงตัวก่อน แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกกับการหัดขี่ 3 ล้อเช่นกัน เคยมีครั้งหนึ่งที่ฝึกเคยเหลือเอาไว้ แต่ไม่ได้ใช้เทคนิคนี้ ครั้งนั้นล้มไม่เป็นท่า ครั้งนี้เพียงแค่เวลาไม่นานลูกก็ทรงตัวได้กับการปั่นจักรยาน 3 ล้อ ได้อย่างดี ทรงตัวได้เร็วมาก...เรียกว่าผิดคาดเลย สรุปวันแรกก็หัดทรงตัว 3 ล้อ
22 พ.ย. หลังกลับจากเลิกเรียน ลูกก็กระตือรือล้น อยากจะหัดจักรยานต่อ แต่วันนี้ ลูกขอถอดล้อออกเหลือ 2 ล้อ ด้วยความมั่นใจของลูก จัดไป 2 ล้อ ตามลูกขอมา วันนี้สามีอยู่ด้วย แม่ดาวเลยเหนื่อยน้อยลง มีคนคอยวิ่งจับจักรยานให้ลูกแทน อิอิ แต่ปรากฎว่าวันนี้กลายเป็นวันที่ลูกดูหงุดหงิด ไม่พอใจ ดูจะไม่มีความสุขกับการหัดขี่จักรยานเท่าใดนัก เหตุผลคือสามีสั่งการแบบบัญชาการตลอดเวลา ต้องแบบนี้ ต้องอย่างนี้ ลูกขี่ไป พ่อก็พูดกำกับไปตลอดเวลา ลูกบ่นว่าอยากให้แม่มาหัดให้มากกว่า แต่นะ นี่เป็นโอกาสอันดีที่พ่อลูกเขาจะได้สานสัมพันธ์กัน ปกติสามีมีเวลาใกล้ชิดลูกน้อยกว่าแม่ดาวพอสมควร เมื่อนี่เป็นโอกาส เราต้องฉวย และสร้างเนอะ เขาไปสะกิดส่งสัญญาณว่า ให้น้อยลงกว่านี้นะ พูดเยอะไป ให้ลูกเขาเรียนรู้ด้วยประสบการณ์เขาเอง เล่าตกไปนิดนึงวันก่อนตอนที่ลูกหัด 2 ล้อในตอนแรกๆ นั้นแม่ดาวก็พูดเยอะไป ได้สติตอนลูกบอกว่า “แม่ครับ แม่พูดจนดีโด้ไม่มีสมาธิจะขี่เลยเนี้ย” จึงขอโทษลูกและห้ามปากตัวเองพูดให้น้อยลงฮ่าๆๆๆๆ บางทีมันก็ห่วงเนอะ กลัวลูกจะเจ็บมาก เลยพูดมาก เพราะห่วงมากไป ดีนะที่ลูกเตือนสติ ไม่งั้นลูกก็คงสติแตก แม่ก็เหนื่อยพูดไป วันนี้มีพี่สาวที่เล่นด้วยกันบ่อย ๆ มาช่วยสอนน้องด้วยอีกแรง เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามมาก อดทนมาก ล้มก็ไม่ร้อง ได้แผล ก็บอกทนได้ ไม่เป็นไร ซึ่งหากเป็นปกติแผลแบบนี้ร้องโวยวายลั่นแล้ว ทุกอย่างอยู่ที่ใจจริง ๆ ว่าไหม สุดท้ายเขาก็พยายามขี่เองแบบไม่มีใครจับ และก็ได้แบบทุลักทุเลมาก และ ไชโย.......เสียงชื่นชมจากหลาย ๆ คนที่เห็นส่งเสียงกันใหญ่ แต่คิดว่าน่าจะดังน้อยกว่าเสียงในใจเขานะ ดูจากแววตาแล้ว เขาภูมิใจสุด ๆ
23 พ.ย. หลังจากเลิกเรียนชวนเพื่อนอีกคนที่อยู่ในวัยเดียวกันที่ยังขี่จักรยาน 2 ล้อไม่ได้มาหัดด้วยกัน โดยให้น้องดีโด้ทำหน้าที่ช่วยแนะนำเพื่อนว่าควรทำอย่างไร เห็นชัดว่าดีโด้เขาตั้งใจในการสอนเพื่อนมาก เขาดูมั่นใจในตนเอง สิ่งที่เขาสอนเพื่อน บอกเพื่อน ก็คล้ายที่เราบอกเขา มีให้กำลังใจ บอกให้อดทน ใจเย็น ๆ บอกว่าต้องทำท่าเตรียมพร้อมอย่างไร แบบไหน ทำให้ดู ไม่บ่น ไม่เบื่อที่เพื่อนสอนยาก มีแม่ดาวนี่แหละช่วยจับ ช่วยแนะด้วยอีกนิด เพื่อนคนนี้ก็ขี้กลัวมาก แถมก่อนมาแม่เขายังบอกว่า โอ๊ย....มาหัดให้ลูกชั้นยาก ขี้กลัวจะตาย พูดเสียงดังฟังชัดได้ยินกันทั่ว แม่ดาวยิ้มตอบ ก็แค่ยาก แต่ไม่ใช่จะทำไม่ได้จริงไหม หันไปยักคิ้วส่งยิ้มให้ลูกชายเขา หากเราเชื่อว่าเขาทำได้ เขาจะทำได้ และเรื่องนี้ไม่ยากเกินความสามารถของเด็กแน่ ๆ แค่ต้องมีความพยายาม และรายนี้ปกติเขาเป็นเด็กที่มีความพยายาม อดทนมากเลยทีเดียว แต่จะเรียนรู้อะไรได้ช้า เข้าใจอะไรได้ยากกว่า พ่อแม่เขาไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกมากนักเพราะต้องทำงานทั้งคู่ เด็กคนนี้เล่นกันมาตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนจึงรู้จักนิสัยใจคอกันดี และเขาก็เหมือนจะเป็นลูกเราอีกคนหนึ่ง เมื่อพูดกระตุ้นสร้างแรงบันดาลใจให้เขาอยากจะขี่ อีกทั้งเขาก็เห็นว่าดีโด้ขี่ได้ เราแค่เสริมแรงไปนิดหน่อยว่า “น้าดาวเชื่อว่าวินสามารถขี่ 2 ล้อได้แน่ ๆ” รายนี้วันแรกก็ยังไม่ได้ เช่นกัน แต่รายนี้เหนื่อยและหนัก หนักจริง ๆ น้ำหนักตัวเขาแทบจะเท่าแม่ดาวล่ะมั้ง ปวดหลังไปเลยงานนี้ สุดท้ายไปฝึกเอง ก็2-3 วัน ก็ขี่ได้ แต่อาจจะยังไม่คล่องมากนัก
24 พ.ย. พาไปขี่จักรยานนอกสถานที่ ไปที่สวนรถไฟ แรก ๆ ก็หวั่น ๆ ด้วยเป็นวันอาทิตย์คนมักเยอะมากเป็นปกติ บางที่จักรยานเช่าที่มีแทบจะไม่พอด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวก็อยากจะไปขี่จักรยาน ทดสอบฝีมือที่สวนรถไฟ เพิ่งฝึกไม่กี่วัน แต่ครั้งนี้ก็เห็นพัฒนาการเขาว่าเขาทรงตัวได้ดีเลย ดูขี่ได้คล่อง ผิดคาดอีกแล้วงานนี้ ออกอาการจะซ่า ด้วยความมั่นใจสูงทะลัก มักไม่ค่อยฟัง จะขี่เร็ว ๆ ไม่ค่อยจะรอกลุ่ม พาไปขี่ที่เมืองจราจรจำลองในสวนรถไฟ แนะนำนะคะใครพาลูกไปปั่นจักรยานแนะนำให้พาลูกไปลองฝึกวินัยกันที่นี่ มีสัญญาณไฟจราจร มีถนนให้ลองฝึกวินัยเจ้าตัวน้อยกัน แต่อาจต้องระวังบ้างบางทีก็มีเด็กวัยรุ่นคะนองมาขี่ฝ่าสัญญาณไฟ ขี่เร็ว ๆ บ้าง อันนี้ต้องระวัง ในการขี่จักรยานที่สวนรถไฟ ก็จะต้องมีวินัยเช่นกัน เขาจะมีเส้นทางคนเดิน ทางจักรยาน ต้องสังเกตุสัญลักษณ์ที่พื้นถนน บางทีก็งง สวนเลนก็จะมีคนบอก อาจเป็นเจ้าหน้าที่ หรือผู้หวังดีคนอื่น ๆ หรือไม่อีกทีก็ต้องสังเกตุจากคนอื่นเองฮ่าๆๆ
สรุป การหัดขี่จักรยานครั้งนี้มีอะไรดี ๆ หลายอย่าง ลูกได้เพิ่มความมั่นใจในตนเอง เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น เป็นอีกเรื่องที่แม่ดาวได้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ อดทน เพียรพยายามของลูกอย่างยิ่ง เรียกว่าผิดคาดมาก แม่ดาวเชื่อจริง ๆ ว่าเขาทำได้แน่ ๆ แค่จะวันไหนแค่ไหน ไม่คิดว่าเขาจะอดทน พยายามฝึกฝน มุ่งมั่นจนสำเร็จได้ในเวลาไม่กี่วัน สำหรับบ้านเรา เรื่องนี้มันยอดมากฮ่าๆๆๆ
ฝากไว้....หากเราไม่คาดหวัง เราจะไม่ผิดหวัง ก็ไม่มีต้นทุนให้ผิดหวังนี่เนอะ อิอิ เห็นบางคนบ่นว่าเมื่อไหร่นะลูกฉันจะทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ได้เหมือนลูกบ้านนั้น บ้านนี้สักที อายุขนาดนี้ทำไมยังทำ.....ไม่ได้ อยากให้ใช้ความเข้าใจว่า เด็กแต่ละคนต่างกันจริง ๆ นะคะ เมื่อไหร่ที่เขาพร้อม เขารู้สึกอยากจะทำ เขารักในสิ่งที่จะทำ ความสำเร็จก็จะตามมาเอง พ่อแม่ส่วนใหญ่ที่รู้จักมักเคี่ยวเข็ญลูกเนอะ ใช้แรงผลัก มากกว่าการจูงใจให้ทำ ลองทบทวนกันดูนะคะ ว่าเราใช้แรงผลัก หรือแรงจูงใจ สิ่งไหนมากกว่า โดยส่วนตัวแม่ดาวจะใช้แรงจูงใจนำ มีใช้แรงผลักกันบ้าง เรียกว่าต้องให้พอเหมาะ เหมาะสมกับลูกของเรา
ขอบคุณบันทึกดีๆค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆที่มีมาให้เสมอค่ะ