ฮักนะเชียงยืน 7


"บ้านเกิดเมืองนอนเเห่งนี้เป็นของเรา หากเราไม่รักษ์ไว้เเล้วจะให้ใครมารักษ์"

ฟันเฟืองตัวที่ 2 (ค่ายเพื่อนบอกเพื่อน)

 

  

         การศึกษานั้นเป็นทุนที่สำคัญที่จะทำให้งานบังเกิดผล เป็นการเดินตามทางตนเองโดยมองผู้รู้เป็นหลัก เเต่เมื่อได้ศึกษามาเเล้วสิ่งที่สำคัญหรือเป็นส่วนที่เป็นเเก่น คือ การพัฒนางานหรือการดำเนินงาน "เรารู้ว่าสิ่งนี้ไม่ดี เรารู้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้เกิดผลเสีย" โจทย์ที่ควรใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนเป็นการจะถ่ายทอดให้กลุ่มเป้าหมายรู้ได้อย่างไร รู้ได้วิธีการอย่างไร ถึงจะสามารถทำให้เขาได้รับรู้ในสิ่งที่เราอยากจะสื่อสารได้มากที่สุด ซึ่งถือว่า "เป็นโจทย์หิน" พอสมควรในสำคัญเยาวชนที่เริ่มทำค่ายกิจกรรมใหม่ "จะออกเเบบกิจกรรมอย่างไรห้เหมาะสม" ซึ่งครุ่นคิดไปในครั้งเมื่อเราได้อบรม  ได้ผ่านกระบวนการต่างๆ เมื่อครั้งที่เราเป็นเด็ก แล้วมาประมวลเเต่ละสิ่งเเต่ละกิจกรรมให้มีความเหมาะสมกับเด็กในระดับมัธยม ที่คิดเพียงว่า "จะทำอย่างไรให้เพื่อนได้เข้าใจ" กับสิ่งที่เรารู้ โดยอยากให้ออกมาจากความคิด อยากให้ออกมาจากภาย "ระเบิดออกมาจากด้านใน" มากที่สุด เพราะมีเพียงใจเท่านั้น การที่จะดึงใจเพื่อนให้ออกมาจึงเป็นขั้นตอนที่ถือว่ายากพอสมควรในกิจกรรมที่ได้ออกเเบบ การถ่ายทอดข้อมูลที่ต้องการสื่อสาร ประกอบด้วยการสร้างกลุ่มเครือข่ายในชุมชน จึงเป็นกิจกรรมที่ชื่อว่า "เพื่อนบอกเพื่อน"  เพื่อนในที่นี้หมายถึงกลุ่มเพื่อนๆในโรงเรียนที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในหมู่บ้านที่ประสบกับปัญหา โดยที่ชักชวนให้มาเรียนรู้ร่วมกัน พูดคุยเเลกเปลี่ยนกัน เเล้วจากกิจกรรมเน้นไปที่การดึงใจเขาให้ ตัวเขาเองออกมารักษ์บ้านเกิดด้วยตนเอง โดยที่เพื่อนบอกเพื่อน เน้นจุดที่ "การดึงความคิดเเล้วมาพูดคุยกัน" เมื่อได้ดึงความคิดเเล้วได้พูดคุยกันเเล้ว เขาก็รู้สึกว่า "มันเกิดอะไรขึ้น เเล้วควรจะทำอย่างไร" ซึ่ง ณ ช่วงเวลานี้เองที่จะรู้สึกว่า "เราจะต้องรักษ์" หมู่บ้านของเรา รักษาไว้ในนานที่สุด จากกิจกรรมดังกล่าวข้างต้น มีการระดมความคิดเเล้วพูดคุยกัน ในกลุ่มคนที่ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน จึงทำให้ง่ายต่อการพุดคุยเเลกเปลี่ยนความคิดระหว่างกัน หลายคนหลากมุมมอง ร่วมสะท้อนชุมชนของตนเองอย่างที่ตนเองเคยรู้จัก กิจกรรมเพื่อนบอกเพื่อนนี้ยังเน้นย้ำไปถึงการอยากให้กลุ่มเครือข่ายจำนวนนี้ ไปพูดคุยกันในครอบครัวของตนเองในประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น  ไปพูดคุยกับพ่อ เเม่ เเละคนในครอบครัว ช่วยกันหาทางออก ให้รู้จักการป้องกันมากยิ่งขึ้นในการทำเกษตรกรรม

        "เพื่อนบอกเพื่อน" เป็นค่ายที่จัดขึ้นให้เพื่อน เป็นค่ายที่จัดขึ้นให้ พี่ๆ น้อง ๆ ในโรงเรียน ได้มีความรู้  มีความเข้าใจ เเล้วจะส่งผลไปจนทำให้มีความตระหนักในเวลาต่อมา พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกคนอยู่ในชุมชนเดียวกัน มาอยู่ ณ ที่เเห่งนี้เปรียบเหมือนกับเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนกันที่จะคอยรักษาดินบ้านเกิดของเราไว้ให้นานที่สุด  รักษาสุขภาพของคนในครอบครัวไว้ให้นานที่สุด  รักษาวัฒนธรรมเดิมที่กำลังจะลดเลือนไปจากวิถีชีวิตไปให้มากที่สุด  "ทุกๆคนอยู่ในชุมชนเดียวกัน" เหมือนเพื่อนที่จะคอยช่วยเหลือกัน   หลักคิดสำคัญอีกประการ คือ "เด็กในวันนี้เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า" ฮักนะเชียงยืน มองว่า หากเราเลือกพัฒนาเด็ก หากเราเลือกพัฒนาเพื่อน ผลที่ออกมานั้นจะคุ้มค่ายิ่งกว่า เพราะถ้าเราไปบอกกล่าวกัยชาวบ้านโดยตรงนั้น "ชาวบ้านเลิกไม่ได้" เพราะสิ่งนั้นเป็นวิถีชีวิตของเขามาช้านาน สิ่งที่จะทำได้ คือ การเลือกที่จะพัฒนาเด็กๆให้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะรักษ์บ้านเกิดของตนเอง สิ่งที่พอจะสามารถทำได้ในระดับผู้ใหญ่นั้น เป็นการเน้นย้ำให้ชาวบ้านได้ตระหนักในการใช้สารเคมี เเละป้องกันตนเอง  ชาวบ้านสามารถป้องกันได้ ชาวบ้านสามารถลดได้ หากมีเครื่องมือที่สำคัญที่จะนำไปเป็นกลไกการพัฒนา เเล้วสิ่งนี้จึงเป็นที่มาของค่ายกิจกรรมต่อไป...

 

 

 

กิจกรรมค่าย "เพื่อนบอกเพื่อน" มีรายละเอียดกิจกรรมย่อยดังนี้

กิจกรรมเพื่อนบอกเพื่อน(สร้างกลุ่มเครือข่าย)

- BAR

- กิจกรรมสร้างคุณค่าในตนเอง

- ความรู้เกี่ยวกับดิน การเก็บตัวอย่างดิน

- ฆาตกรเงียบ (สะท้อนความคิดเห็น )

- ผังการปลูกแตงเเคนตาลุป

- วาดภาพ ชุมชนของฉัน

-  AAR

 

           BAR หรือ การคุยงานกันก่อทำถือว่าเป็นวิถีทางเเห่งความสำเร็จในอีกมุมมองหนึ่งที่สำคัญ ที่เนื่องเพราะการที่เราจะทำงานสิ่งใดใดนั้น การคุยงานกันก่อนทำเป็นสิ่งกำนดทิศทางของงานอย่างชัดเจน เเล้วทำให้รู้งานนั้นๆร่วมกัน โดยในครั้งนั้นการคุยงานกันก่อนทำเน้นไปที่ เครือข่าย / ความรู้ / ความตระหนัก / พูดคุยกับครอบครัว โดยเป็นการระดมความคิดเเบบเด็กกันว่า จะทำอย่างไรให้ 4 คำนี้ออกมาเป็นกิจกรรมหนึ่งกิจกรรม  ที่สามารถเรียบเรียงได้ว่า เป็นกิจกรรมที่สร้างความรู้  ดึงความตระหนัก สร้างเครือข่าย เเล้วมีความคาดหวังว่าเครือข่ายที่ได้สร้างนี้จะเข้าไปพูดคุยกับครอบครัว จึงเป็นเเนวทางในการวางกิจกรรมให้เหมาะสมกับคำสำคัญที่ได้จากการพูดคุย

            กิจกรรมสร้างคุณค่าในตนเอง เป็นกิจกรรมที่คอยกระตุ้นหรือเน้นย้ำเตือนตนเองให้รู้จักคุณค่าของตนเองมากยิ่งขึ้น โดยให้เขาเขียนออกมาว่าตนเองมีคุณค่าอย่างไร  ครอบครัวมีคุณค่าอย่างไร ซึ่งจะสามารถทำให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่าเขามีคุณค่าอย่างไร โดยคาดหวังว่าเขาจะรู้สึกมองเห็นคุณค่าในตนเองได้ชัดเจนขึ้น เขาจะสามารถมองเห็นคุณค่าของครอบครัวได้ชัดเจนขึ้น มีความคาดหวังสูงสุด คือ เมื่อเขาได้มองเห็นคุณค่าในตนเอง เขาจะรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าอย่างไร เเล้วสะท้อนผลไปอย่างเนืองๆว่า เงินที่เราเสี่ยงอยู่กับสารเคมีอยู่ในทุกๆวันนั้นมีความคุ้มค่ากันไหม เงินที่เราได้กับสุขภาพที่เราได้มีความคุ้มค่ากันไหม..

            ความรู้เกี่ยวกับดิน เป็นประเด็นที่ชัดเจนที่เราอยากจะถ่ายทอด เเต่โจทย์สำคัญ คือ จะถ่ายทอดอย่างไรให้เพื่อนๆทุกๆคนมีส่วนร่วมมากที่สุด ณ ตอนนั้นจึงนำมาซึ่ง กิจกรรมการตั้งประเด็นคำถามในเรื่องของดินโดยมีของรางวัลเพื่อเป็นทุนหลักในการดึงความคิดให้ออกมา เเล้วเมื่อมีการตอบคำถาม จึงต้องมีการสอดเเทรกความรู้ในระหว่างคำถาม "หรือการให้คำถามนั้นเป็นเครื่องมือในการเเสดงออกนั่นเอง" ให้คำถามเป็นจุดสนใจที่จะทำให้เพื่อนผ่อนคลายในระยะเริ่มต้น "เป็นเเนวทางการคิดเเบบเด็กทั่วไป"

             การเก็บตัวอย่างดิน เป็นการถ่ายทอดความรู้โดยการที่ให้กลุ่มฮักนะเชียงยืน ที่ได้ศึกษามาจากผู้รู้เเล้วมาถ่ายทอดให้กับกลุ่มเพื่อนๆ โดยการอธิบาย "เล่าสู่เพื่อนฟัง" แบบเป็นกันเอง เพื่อที่คาดหวังว่า กลุ่มเครือข่ายนี้จะเป็นคนที่จะพาน้องร่วมทำงานในกิจกรรมฟันเฟืองตัวต่อมา

            ฆาตกรเงียบ (สะท้อนความคิดเห็น ) เป็นวิดีโอที่ฉายขึ้นเพื่อให้เพื่อนๆทุกๆคนได้รับชม ผลเสีย เเละผลกระทบของสารเคมีมากยิ่งขึ้น โดยเน้นไปที่การถอดองค์ความรู้จากสิ่งที่ได้รับในเรื่องราวที่ได้รับชม เป็นกิจกรรมที่เน้นการดึงความคิดที่อยู่ภายในให้ออกมาด้วยการนำ วิดีโอมาเป็นเครื่องมือ เเล้วจากการดึงความคิดออกมาเเล้วจะเป็นการเขียนสิ่งที่ได้รับนั้นลงในกระดาษเเล้วนำสิ่งนั้นมาแลกเปลี่ยนพูดคุยระหว่างกันอย่างเปิดใจ

            ผังการปลูกแตงเเคนตาลุป เป็นเครื่องมือการเน้นการดึงความคิดของเขาให้เขาเขียนเเผนผังว่า เรามีวิธีการปลูกอย่างไร เราปลูกอะไร ใช้สารเยอะไหม เเล้วเป็นอย่างไร โดยเน้นให้เขามองที่ไร่นาของตนเอง มองที่ครอบครัวของตนเอง  มองที่วิธีการปลูกของตนเองเเล้วจัดเป็นกลุ่มเพื่อถ่ายทอดสิ่งนี้ออกมากจากความคิดเพื่อที่จะพูดคุยกันในประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น จากกิจกรรมนี้เน้นไปที่การให้เขาได้เห็นภาพไปอย่างชัดเจนขึ้นอีกว่า เขาใช้สารเคมีมากหรือน้อยเพียงใด ซึ่งจะสอดคล้องกับวิดีโอที่ได้รับชมไปในผลเสียที่เกิดขึ้นกับตนเอง กับครอบครัว และชุมชน เเล้วเป็นการสำรวจอีกนัยยะหนึ่งว่าชีวิตเด็ก ชีวิตเพื่อนๆที่ปลูกนั้น เขาปลูกอย่างไร ได้ชัดเจนขึ้น

             วาดภาพ ชุมชนของฉัน เป็นเครื่องมือสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่จะดึงความคิดของเขาให้ออกมาโดยการวาดภาพชุมชน ให้เขามองเห็นบริบทของชุมชนตนเองโดยรอบเข้าลึกไปอีกว่า ตอนนี้ชุมชนของเรากำลังเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ไร่นาที่ทำการเกษตรนั้นในหมู่บ้านของเรานั้นเป็นอย่างไร  เเล้วเมื่อเป็นอย่างนี้เเล้วเราจะเเก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งเเต่ละกลุ่มได้เข้ามามีบทบาทในการสะท้อนความคิดเห็นเเลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันเเบบเพื่อน เเบบเด็กเยาวชน...

            AAR เป็นขั้นตอนในการประมเินงานที่ได้ทำในหลังจากที่ทำกิจกรรมเสร็จ ว่างานที่เราได้ทำนี้มีข้อดี ข้อเสีย มีสิ่งที่ควรปรับปรุงอย่างไร โยในการรับปรุงนั้นหลักๆเน้นไปที่การบริหารจัดการเวลาในการทำกิจกรรมให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น เเล้วสิ่งที่จะทำต่อไปเป็นค่ายของเด็กๆที่เราจะพัฒนา...

            เครื่องมือต่างๆเน้นไปที่การดึงความคิด สำนึกรักษ์ บ้านเกิดของตนเองกลับมาเพียงทั้งสิ้น โดยเมื่อมีความคิดที่จะสำนึกรักษ์ เป็นที่ฮักนะเชียงยืนมองว่า สิ่งนั้น "เป็นความตระหนัก" ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในทัศนคติของเพื่อนทุกๆคน  ถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นกันเอง  สร้างเครือข่ายอย่างเป็นกันเอง เมื่อมีความรู้สึกเป็นกันเองจะสามารถทำให้ดึงความคิดจากภายในออกมาได้ง่าย อีกปัจจัยที่หนุนเสริม อาจเป็นความเป็นเพื่อนที่สร้างความคุ้นชินเเล้วทำให้เพื่อนนั้นสามารถปรับใจได้อย่าง "พอดี" .... 

            จากการที่ฮักนะเชียงยืนที่กำหนดคำเอาไว้ซึ่งมี เครือข่าย / ความรู้ / ความตระหนัก / พูดคุยกับครอบครัว ที่นำมาออกแบบเป็นกิจกรรมมีผลออกมา คือ เป็นการสร้างเครือข่ายจากกิจรรมที่เป็นเครื่องมือ ซึ่งเป็นค่ายเพื่อนบอกเพื่อนที่ได้กระทำ  ความรู้นำมาสู่ประเด็นการตอบคำถามเเล้วสอดเเทรกในสิ่งที่กลุ่มถ่ายทอดจากการศึกษาเเละเป็นการเล่าสู่กันฟังแบบเพื่อนๆ  ความตระหนักเป็นโจทย์ "หิน" โดยใช้เครื่องมือทางการคิดมาดึงความคิดให้ออกมาจากเพื่อนๆ เเล้วพูดคุยกัน ที่มีเครื่องมือ ดังนี้  กิจกรรมสร้างคุณค่าในตนเอง  ความรู้เกี่ยวกับดิน การเก็บตัวอย่างดิน   ฆาตกรเงียบ (สะท้อนความคิดเห็น )  ผังการปลูกแตงเเคนตาลุป เเละ วาดภาพ ชุมชนของฉัน สุดท้ายเป็นการพูดคุยกับครอบครัวซึ่งสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับทัศนะของเพื่อนๆเเต่ละคน เพราะสิ่งนี้อยู่ภายใน ฮักนะเชียงยืนถ่ายทอดให้ได้เพียงภายนอก เพียงติดตามเท่านั้น...  

           การตั้งเป้าหมายของงานที่ทำในกิจกรรมนี้ถือว่าเป็นค่ายเเรกที่ฮักนะเชียงยืนได้จัดขึ้น ถือว่าเป็นการตั้งเป้าหมายเเล้วนำมาซึ่งการออกเเบเป็นกิจกรรมในทัศนะของฮักนะเชียงยืน... จากการได้ตั้งเป้าหมาย มาสู่การออกเเบบกิจกรรม จากการออกเเบกิจกรรมมาสู่ การดำเนินกิจกรรม  จากการดำเนินกิจกรรม นำมาสู่การพูดคุยกันหลังงานที่ได้ทำว่า เป็นอย่างไร เเล้วมีข้อดีข้อเสียอย่างไร เเล้วควรจะทำอย่างไรต่อไป      

            สิ่งที่ได้เรียนรู้สำคัญๆในกิจกรรมนี้เป็นการบริหารจัดการเวลาให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้นโดยการเน้นประมาณเวลาให้กระชับขึ้น กิจกรรมควรตรงเวลาให้มากที่สุด ไม่ควรเล่นจนเกินไป ไม่ควรคิดจนเกินไป เเต่ต้องมีความพอดี เมื่อได้เครียด ให้คลายเครียด เมื่อไม่เครียด ทำคิด ให้ดึงความคิดออกมา  เเล้วสิ่งสำคัญที่ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ลดความตึงเครียดทางการคิดได้เป็นอย่างดี คือ การให้ชมอะไรบ้างสิ่งบางอย่างที่แปลกตา ไม่เคยได้รับชม...

 

สื่อ TPBS

 

         ณ ครั้งนั้นในระหว่างการดำเนินงานได้สื่อสารมวลชนเข้ามาเล็งเห็นความสำคัญ คือ thaipbs จากสำนักข่าวท้องถิ่น ในครั้งนั้น เด็กคนหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์ไปว่า "สิ่งที่เราได้ทำอยู่ในขณะนี้เป็นเพียงการจุดประกายเด็กในชุมชน เพื่อที่จะให้เด็กในชุใชนได้ลุกขึ้นมารักษาบ้านของตนเอง เป็นการสร้างความรู้  ความเข้าใจ เเละความตระหนักให้เกิดขึ้นในทัศนคติของเพื่อนทุกๆคน เมื่อเราได้สร้างเเล้วเราจะทำได้เพียงการสร้าง เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะสอนตนเองได้ ที่จะตระหนักภายในได้" 

          การพัฒนางานนั้น จะต้องมีกลุ่มเครือข่ายที่จะพร้อมช่วยกันดูเเลรักษาบ้านเกิดของตนเอง หากทำงานเพียงกลุ่มเดียวเเต่ฮักนะเชียงยืนจะไม่ได้ทำให้เกิดสิ่งใดขึ้นเลย  เเต่ถ้ามีเครือข่าย ยิ่งถ้าเครือข่ายมีเป็นลูกหลานในชุมชนจะสามารถเป็นทุนที่สำคัญในการพัฒนางานได้ ความคาดหวังโดยรวม คือ เมื่อเครือข่ายเพื่อนๆรู้เเล้ว คาดหวังว่าเพื่อนๆจะพูดคุยกันในครอบครัวของตนเองขึ้น จะถ่ายทอดสิ่งที่เราถ่ายทอดให้ไปประยุกต์ต่อ หรือเป็นเเรงบันดาลใจในการเเก้ไขปัญหาในชุมชนต่อไป ฮักนะเชียงยืนทำได้เพียงการจุดประกายจากภายนอก เเต่การจุดประกายจากภายในนั้นขึ้นอยู่กับทัศนคติของเเต่ละบุคคล

 

"บ้านเกิดเมืองนอนเเห่งนี้เป็นของเรา หากเราไม่รักษ์ไว้เเล้วจะให้ใครมารักษ์" 

 

 

             

          

หมายเลขบันทึก: 555941เขียนเมื่อ 10 ธันวาคม 2013 18:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 ธันวาคม 2013 18:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เข้ามาอ่าน และชื่นชมครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท