บ่ายวันนี้เป็นการฟังบรรยายจากอาจารย์ท่านหนึ่่ง (ขออภัยที่จดชื่อผู้บรรยายไม่ทันค่ะ) เรื่องภาพรวมการศึกษาขั้นพื้นฐานของจีน การจัดการและการพัฒนากลยุทธการศึกษาและการเรียนการสอน โดยท่านอาจารย์ได้นำเสนอ ๔ ประเด็นดังนี้คือ
๑. โครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา
๒. หนังสือการเรียนการสอน
๓. การพัฒนาไปสู่ความสำเร็จของการศึกษาพื้นฐานของจีน
๔. ปัญหาทางการศึกษาของจีน
จากการที่พยายามฟัง (ต้องพยายามอย่างมากๆ ที่จะฟังอาจารย์ในภาษาจีนและฟังแปลจากล่าม ครูนกเพิ่งค้นพบว่าฟังแบบนี้เหนื่อยแบบยกกำลังสอง) ได้ข้อสรุปแบบย่อๆ ดังนี้
๑. โครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา
สรุปได้โครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา ประกอบด้วยการศึกษาในระดับปฐมวัย ระดับประถมศึกษา ๖ ปี ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๓ ปี และระดับมัธยมศึกษา ๖ ปี เหมือนกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทยทุกประการ ใน ๑ ปีการศึกษาแบ่งเป็น ๒ ภาค รวมทั้งหมด ๓๘ สัปดาห์ รายวิชาสำหรับระดับประถมศึกษาได้แก่ ภาษาอังกฤษ จีน เลขคณิต จริยธรรม คอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ สุขศึกษา ที่น่าสนใจคือ วิชาความปลอดภัยและรายวิชาท้องถิ่น สำหรับระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเพิ่มรายวิชาเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ และในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะมีความคล้ายคลึงกับประเทศไทย การดูแลหลักสูตรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ ภาคท้องถิ่น(มลฑล) และโรงเรียน
ในด้านการวัดประเมินผลระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนปลายใช้การรายงานผลเป็นร้อยละ ส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นใช้ระบบประเมินผลเป็นเกรด A, B, C, D และ E
ประเด็นน่าสนใจคือนักเรียนระดับประถมศึกษาสามารถเลื่อนไปสู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นได้โดยไม่ต้องมีการสอบคัดเลือก และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจำนวนร้อยละ ๔๐ เจ้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
๒. หนังสือหรือตำรา
ตำราเรียนหรือหนังสือเรียนมีหลากหลายรูปแบบมีหลากหลายสำนักพิมพ์ แต่จะมี ๓ สำนักพิมพ์หลักในการพิมพ์แบบเรียน ส่วนการเลือกใช้ครูนกยังจับประเด็นไม่ได้ว่าอยู่ในดุลยพินิจของใคร
๓. การพัฒนาไปสู่ความสำเร็จของการศึกษาพื้นฐาน
ในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ จะมีการขยายการศึกษาภาคบังคับเป็นระยะเวลา ๑๒ ปี และภาคสังคมเข้ามามี่ส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น
๔. ปัญหาทางการศึกษาของจีน
ความแตกต่างระหว่างการศึกษาในเมืองกับในชนบทซึ่งยังขาดแคลนอุปกรณ์ ครูผู้สอนทำให้คุณภาพการศึกษาต่ำกว่ามาตรฐาน ครูที่สอนในชนบทมีค่าตอบแทนต่ำ (เงินเดือนประมาณ ๓,๐๐๐ หยวน หรือ ๑๕,๐๐๐ บาท)
จากการฟังที่อาจารย์สรุปให้ฟังผ่านล่ามครูนกให้คำตอบตนเองว่า การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานระหว่างไทยกับจีนมีความคล้ายคลึงกันหลายประเด็น แต่จุดเด่นคือ จำนวนนักเรียนของจีนมีมากทำให้การแข่งขันมีสูงส่งผลให้เด็กๆ มีวินัยค่อนข้างสูง แต่ผลเสียก็มีคือเด็กๆ จะมีความเครียดสูงด้วย
สรุปเรียนรู้การศึกษาของเขาหันมามองดูเราทำอย่างไรให้เด็กไทยให้มีระเบียบวินัยเพิ่มขึ้นจากเดิม การศึกษาของไทยสู่การเป็นคนที่คิดเป็น ทำเป็น อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ไม่ไกลเกินฝันค่ะ
.... ขอบคุณบันทึกดีดีนี้ค่ะ .... ทำให้เรียนรู้ การเรียนการสอนของ ประเทศจีนเขา นะคะ
ขอบคุณค่ะ คุณหมอDr. Ple
ครูนกอาจจะเล่าไม่ละเอียดนะคะ...มีอุปสรรคในการฟังภาษาจีนค่ะ
สวัสดีค่ะ....น้อง เพชรน้ำหนึ่ง
พยายามจะถอดบทเรียน...เท่าที่ทำได้ค่ะ....อุปสรรคคราวนี้คือฟังภาษาจีนไม่ออกต้องรอฟังจากล่าม
เด็กไทยเราไม่เครียดนับเป็นข้อดี ทำให้มีทัศนะคติเชิงบวกต่อการเรียนรู้ใหม่ๆที่ระบบการศึกษาสมควรเร่งปฏิรูปทั้งเชิงวิชาการและคุณธรรมนะคะ
การศึกษาของไทยสู่การเป็นคนที่คิดเป็น ทำเป็น อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ไม่ไกลเกินฝันค่ะ
เป็นกำลังใจให้ครับ
สวัสดีค่ะ ป้าใหญ่นาง นงนาท สนธิสุวรรณ
ขอบคุณค่ะสำหรับคำแนะนำในการปฏิรูปเชิงวิชาการและคุณธรรม
ขอบคุณค่ะ คุณ พ.แจ่มจำรัส
หลังเหตุบ้านการณ์เมืองปกติแล้ว
เดินหน้าตาไปทุกๆเรื่องค่ะ
คืนคุณธรรม และวินัยสู่เยาวชน
ครูนกกลับมาจากเมืองจีนแล้วเหรอค่ะ กะว่าจะฝากคำถามไปถามครูๆ จีนสักหน่อยค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณครูมะเดื่อ
- ขอบคุณค่ะที่่มาติดตาม...ทานอาหารจีนเผื่อทุกมื้อเลยค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์จัน
ครูนกกลับมาแล้วค่ะ...แต่หากมีคำีถามแล้วเวลาไม่รีบร้อนเกินไปครูนกจะประสานกับครูทีู่ศูนย์ภาษาจีนให้ได้ค่ะ
อยากรู้ว่าข่าวนี้จริงหรือเปล่าค่ะ ถ้าครูนกถามเขาได้รบกวนหน่อยนะคะ
"และข่าวล่าสุดที่ดิฉันเพิ่งจะได้อ่านเช้าวันนี้จาก The Economist ที่พาดหัวข่าวได้น่าสนใจค่ะว่า "The education ministry tries to ban homework" ประเทศจีนเขาเอาจริงแล้วค่ะกับห้องเรียนกลับทาง วางกันเป็นแนวทางปฏิบัติจากทางกระทรวงศึกษาธิการกันเลยค่ะ เช่น ห้ามมีการสอบสำหรับเด็กจนถึงวัย 9 ขวบ ห้ามการบ้านแบบงานเขียนสำหรับเด็กจนถึงวัย 12 ขวบ และการเรียนระดับประถมเพิ่มกิจกรรมเสริมพิเศษเข้าไป เช่น เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ทำกิจกรรมศิลปะ และการทำสวน ค่ะ"
สวัสดีค่ะ อาจารย์ จันทวรรณ