ขอท้าวความย้อนไปนิดเนอะ บางคนอาจไม่เคยอ่านตั้งแต่แรก ๆ ลูกแม่ดาวเป็นเด็กที่ติดแม่มากๆๆ กลัวการพรากจากแม่เป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนอนุบาลก็มีปัญหาเรื่องการร้องไห้ไม่ยอมไปเรียน เหตุผลหลัก ๆ คือ ไม่อยากจากแม่ และยังมีเหตุผลอื่น ๆ อีกมากมายในวัยอนุบาล เช่น เพื่อนแกล้ง ครูดุ เรียนยาก ฯลฯ มีวิธีการหนึ่งที่ครูใหม่และครูหม่อม (เป็นครูผู้เชี่ยวชาญด้านปฐมวัย) คือ ให้พกรูปแม่ใส่กระเป๋าไปโรงเรียนทุกวัน โดยแม่ดาวก็ใส่เรื่องราวไปเล็กน้อยฮ่าๆๆ คือ เวลาลูกคิดถึงแม่ ก็ให้ลูกหยิบรูปแม่ขึ้นมาดู แม่จะส่งความคิดถึงไปให้หนูผ่านรูปนี้นะครับ แอบแถมเบอร์โทร.ไว้ให้ บอกว่า หากลูกคิดถึงมากจนทนไม่ไหว ลูกขอความเห็นใจจากครูขอยืมโทรศัพท์คุณครูโทร.มานะครับ และแม่จะรีบรับสาย หรือโทรกลับทันที ซึ่งตั้งแต่ได้เบอร์ไปก็ไม่เคยโทร.มา สักครั้ง แต่มีไว้ให้อุ่นใจ และวิธีการนี้ได้ผลดีมากๆ ค่ะ ใครสนใจอยากทำบ้างต้องลองดู ทั้งนี้ไม่รับประกันผลลัพธ์ นิสัยเด็กแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ต้องพิจารณาและลองใช้ดูเนอะ
การร่ำลายามเช้าจะไม่โกหก ไม่บอกว่าเดี๋ยวแม่ไป........เดี๋ยวกลับมา จะบอกลูกเลยว่า แม่กลับบ้านไปทำงานบ้าน และจะมารับลูกแน่ ๆ ชี้ให้ดูนาฬิกาเมื่อเข็มสั้นถึง 3 เข็มยาวถึงเลข 12 ชี้ให้ลูกดูที่นาฬิกาเรือนใหญ่ที่โรงเรียน และทุกครั้งแม่ดาวก็จะไปรับลูกตามสัญญา ส่วนมากจะไปรอรับก่อนถึงเวลาเสมอ เพื่อความอุ่นใจของลูก และแม่ดาวทำตามที่ตกลงกับลูกอย่างสม่ำเสมอ ไม่นับรวมสามี เพราะบางทีสามีไปรับก็มีช้าไปบ้าง หรือช้าไปมาก การร้องไห้ยามเช้าช่วงวัยอนุบาลนั้นเป็นเรื่องปกติมาก ร้องไห้ปกติ พอเราห่างออกมาสักพักก็หยุดร้อง แอบดูบ้าง ถามครูบ้าง แต่เวลาไปรับไม่มีน้ำตา ร่าเริง แถมไม่กลับบ้านขอเล่นต่อตามปกติเช่นกัน
พอขึ้นป.1 แรก ๆ ร้องไห้บ้าง ปัจจุบันไม่ร้องแล้ว เวลาเย็นรับกลับบ้านด้วยความที่ลูกโตขึ้น เรียนรู้เรื่องการปรับตัวเข้าสังคมได้ดี แม่ดาวก็เลยใจเบา ๆ อาจไม่ได้ไปนั่งรอรับก่อนเวลาทุกครั้ง บางทีมีงานบ้านติดพันก็อาจช้าไปบ้าง หรือบางทีก็มีรถติดแบบผิดปกติ แต่ไม่เกิน 15.10 น. ดูเวลาตลอดเพราะต้องตอบคำถามลูกเสมอว่า “แม่ออกจากบ้านกี่โมง” “แม่มาถึงรร.กี่โมง” ประมาณนี้ โรงเรียนนี้เลิกเร็วกว่าที่เก่า คือเลิก 14.35 น. ตามตารางที่ครูให้มา โดยส่วนมากแม่ดาวก็จะออกจากบ้านประมาณ 14.00 น. เผื่อเวลา ถึงเร็วดีกว่าถึงช้า
อ่านกันมาถึงตรงนี้คงขมวดคิ้วสงสัย แล้วปัญหาที่ว่าข้างต้นนั้น เกิดขึ้นตอนไหน ฮ่าๆๆๆๆ เกิดขึ้นตอนนี้เลยค่า กำลังจะบรรยายต่อไป อิอิ สามีทำงานอยู่แถวพระราม 7 ทำงานเป็นกะ หากเข้าเช้าก็จะไปส่งและไปรับลูกเอง ปกติก็จะคุยกันตั้งแต่ตอนเย็นของวันนี้ว่าวันพรุ่งนี้ใครไปรับ ใครไปส่ง เตรียมความพร้อมให้ทำใจไว้ล่วงหน้าฮ่าๆๆๆ ลูกไม่ชอบไปกับสามีเท่าไหร่ ติดแม่มากอยากให้แม่ไปรับ-ส่งเองทซึ่งเราก็จะมีการคุยกันไว้แล้วว่า หากป๊าทำงานเช้า ป๊าจะไปส่งและรับ บอกด้วยว่าป๊าเลิกงานกี่โมง คือ 15.00 น. จากที่ทำงานมาโรงเรียนลูกนั้นก็การจราจรก็ติดขัดพอสมควร ดังนั้นป๊าอาจมารับช้ากว่าแม่ แต่ไม่น่าจะเกิน 15.30 น. ด้วยลูกเองก็ไม่มีนาฬิกา และโรงเรียนนี่นาฬิกาใหญ่อยู่ตรงไหนก็ไม่เห็น แม่ดาวเองก็เกิดความรู้สึกใจเบา ๆ เลยไม่ได้ใส่ใจที่จะมองหาจุดดูนาฬิกาให้ลูกสักที ผ่านไปด้วยดีไม่มีปัญหามากนักเรื่องการไปรับ เทอมก่อนมีบ้างร้องไห้ที่ป๊ามารับช้า ไม่กี่ครั้ง จึงไม่ได้ใส่ใจมากเช่นกัน คิดว่าเล็กน้อยคุยกันได้ประมาณนั้น
พอมาเทอมนี้รู้สึกชัดว่าลูกเกิดอาการไม่มั่นใจ ไม่มั่นคงในความปลอดภัย กลัวการมารับช้ามากๆๆๆๆ หากป๊าไปรับก็จะรับช้ากว่ากำหนดเวลาเลิกเรียนเป็นปกติซึ่งจุดนี้ลูกเข้าใจ แต่อาจไม่ยอมรับได้เสียทีเดียวฮ่าๆๆ ย้ำตลอดว่าให้มารับก่อนเวลาเลิกเรียนนะ ให้แม่มานั่งรอ (จะมีเรียนพิเศษ 2 วันที่ลูกขอเรียนเองซึ่งจะเลิก 15.45 น.) ไม่อยากให้ป๊ามารับ คือป๊าไปส่งได้ แต่ตอนรับขอเปลี่ยนตัวเป็นแม่แทน ด้วยความกลัว กังวลเวลาป๊ามารับ
เด็กส่วนใหญ่วัยนี้แม่ดาวว่า เขาไม่รู้เรื่องเวลามากนะคะ(ลูกแม่ดาว 6.5ปี) มันเป็นเหมือนนามธรรม ไม่ชัดเจน จะดีมากหากมีนาฬิกาให้เขาดูเป็นรูปธรรมชัดเจนเข้าใจง่ายขึ้น เหตุการณ์เทอมนี้เกิด 2 ครั้ง แต่หากรวมกับเทอมก่อนด้วยก็ไม่แปลกใจที่ลูกจะรู้สึกกลัวไม่มั่นคง ป๊าไปรับช้า ร้องไห้มากมาย ด้วยเกิดเหตุรถติดผิดปกติกว่าทุกวัน ขณะที่แม่ดาวกำลังง่วนกับการทำงานบ้าน ก็มีเสียงไลน์ดังขึ้น เปิดดูจึงรู้ว่า ผุ้ปกครองท่านนึงที่รู้จักกันส่งไลน์มาบอกว่าลูกร้องไห้บอกป๊ายังไม่มารับ พอดูนาฬิกาตายละหว่าหากจำไม่ผิดตอนนั้น 15.30 น.ได้แล้ว ยังไปไม่ถึง รีบโทร.หาสามีว่าอยู่ตรงไหน และรีบโทรไปเบอร์ดังกล่าวเพื่อขอคุยกับลูกชาย ลูกร้องไห้สะอึกสะอื้นฟ้องแม่ แม่ก็ทำได้คือปลอบใจและบอกความจริง กลับมาก็กอดกันคุยกัน และผ่านไป
แม่ดาวว่าลูกเขาก็ค่อย ๆ เรียนรู้นะคะ ว่าเขาจะสามารถจัดการปัญหานี้ได้อย่างไรได้ เพราะที่เล่าไปนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิด หากไปรับช้าอีกเขาก็จะไปเดินหาคุณแม่ท่านนี้(ที่ให้ความช่วยเหลือ) ไปนั่งใกล้ ๆ วนเวียน ๆ จนเขาเห็นว่าผิดปกติ เพราะจะจ้องหน้าผิดปกติฮ่าๆๆๆๆ ล่าสุดขอยืมโทรศัพท์โทร.หาป๊าเองเลย เพราะแม่ดาวจะให้เบอร์ของทั้งตัวเองและสามีไว้ในกระเป๋าเงินลูก เหล่านี้ก็ช่วยผ่อนคลายความกลัว ความกังวลใจของลูกไปได้ส่วนหนึ่ง
สามีก็มีบ่น ๆ ว่าทำไมนะ ลูกถึงต้องร้องไห้ กลัวขนาดนี้ แม่ดาวเองก็มีคุยกับลูกว่า เพราะอะไรลูกถึงร้องไห้ ลูกบอกว่า “กลัว” พอถามว่าลูกกลัวอะไร ลูกบอกว่า “กลัวป๊าไม่มารับ” ต่อให้เรายืนยันนั่งยันนอนยันว่าอย่างไรเสียป๊าก็ไปรับลูกแน่ ๆ เขาก็ไม่คลายความกลัว จึงบอกให้สามีบอกกับลูกด้วยปากของเขาเอง ลูกก็ยังไม่เชื่อใจ แม่ดาวคิดเองว่า คงมีส่วนมาจากเหตุการณ์ในการใช้ชีวิตปกติ คือบางทีเรามีธุระนัดกันจะไปไหน เขามาผิดเวลาก็ไม่โทร.บอก ปล่อยให้รอ หรือบางทีก็กลับบ้านช้ากว่าปกติมากและไม่โทร.บอก อาจไม่ใช่ทุกครั้ง แต่ก็บ่อย มีหลายเหตุการณ์ที่ชวนให้ลูกคิดว่า ป๊าไม่น่าไว้วางใจในเรื่องการรักษาสัญญาในเรื่องเวลานัดหมาย เคยมีลูกเคยพูดว่า “แม่ยังไม่ชินอีกเหรอ ป๊าก็แบบนี้” มันเป็นประโยคสะดุดใจเลย ว่าเขารู้สึกอย่างไร
หลายครั้งที่แม่ดาวมักบอกว่า ปัญหาพฤติกรรมลูกเกิดขึ้นให้แก้ที่พ่อแม่ก่อน ให้ดูที่ตัวเราเองก่อน บางทีเราก็มองข้ามไป ไปมองถึงปลายเหตุ ไปแก้ปลายเหตุ สำหรับปัญหาเรื่องลูกกลัวการไปรับช้านี้ โดยรวมแล้วแม่ดาวมองว่ากับครอบครัวไม่ได้เป็นปัญหามากนัก เพราะดูแล้วว่าลูกเราเขาสามารถเรียนรู้ที่จะปรับตัวได้ในระดับนึง อีกทั้งแม่ดาวเองก็เป็นยาประสานรอยรั่วในใจให้ลูกเสมอ ๆ แต่จะดีมากหากไม่ต้องแก้ไข คือหากบ้านใครสามารถจัดการตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุได้จะดีมาก อยากให้ยอมรับว่า ความกลัวของเด็กนั้นปกติมาก อย่าหงุดหงิด บางคนเห็นลูกกลัวโน้น กลัวนี่ เกิดอาการคิดว่าลูกกลัวเกินเหตุ หากแสดงความเข้าใจและยอมรับว่า เขากลัว ยอมรับว่าลูกกลัวและค่อย ๆ สอนให้เขาเรียนรู้ว่าจะจัดการความกลัวนี่ได้อย่างไร
เช่นลูกแม่ดาว เราคุยกัน ว่าจะทำอย่างไรดี หากป๊าไปรับ ลูกเสนอขอค่าขนมจาก 20 เป็น 40 บาท เพื่อซื้อขนม อาหารรอ เพราะบอกว่าป๊ามารับช้ามันหิว 20 บาทไม่พอซื้อข้าวเหนียวกับน้ำ อีกทั้งอยากทานขนมด้วย ประเด็นนี้ผ่านมติ จัดให้ ต่อมาให้ไป 40 บาท มีร้องไห้อีก บอกป๊ามารับช้ามากเกินไป ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้นานมากขนาดนั้น แต่เขาไม่รู้เวลา จึงเสนอว่าเอาแบบนี้ไหม ลูกไม่มีนาฬิกาไว้ดู ลูกก็เลยคิดเองว่ารอนานมาก แม่จะซื้อนาฬิกาให้ แล้วสอนลูกดู ลูกแม่ดาวตอบว่า เขายังไม่เอานาฬิกา เพราะตัวเขายังมีความรับผิดชอบไม่พอ กลัวนาฬิกาหาย แต่ไม่เป็นไร เขาเสนอว่า เขาจะฟังเสียงกริ่งที่โรงเรียนแทน คำตอบนี้ทำให้แม่ดาวยิ้มและจุ๊บสมองใส ๆ ของลูก จริงด้วยไม่ต้องมีนาฬิกาฟังเสียงกริ่งบอกเวลาแทน เขาบอกว่าครั้งก่อนป๊ามารับเสียงกริ่งดังไป 2 รอบแล้ว ป๊าก็ยังไม่มา เขาจำแบบนี้ค่ะกริ่งแรก คือเขาเลิกเรียนปกติ (14.35น.) กริ่งสองหมายถึงเด็ก ๆ ที่เรียนพิเศษจะเรียนเสร็จและลงมาเล่นที่สนาม ( 15.45 น.) นั้นหมายถึงเวลาที่หลาย ๆ คนต้องทยอยกลับบ้าน มีผู้ปกครองมารอรับจูงมือกันกลับออกไป ไม่นับเด็กขึ้นรถตู้กลับ เห็นภาพแบบนั้นแล้วเขาใจเสียมาก
อาจมีบางเหตุการณ์เช่น ฝนฟ้าครึ้มคะนองตอนเลิกเรียน แบบนี้มารับช้าก็ใจหาย กลัวสารพัด กลัวน้ำท่วมแล้วแม่จะมารับไม่ได้ กลัวไม่ได้กลับบ้าน กลัวความมืด หรืองานกีฬาสีที่ผ่านมาแม่ดาวไม่ได้ไปดูด้วยไม่รู้ว่าที่โรงเรียนอนุญาตให้ผู้ปกครองไปดูได้ ไม่มีจดหมายแจ้งแต่อย่างใด เลยไม่ทราบ ลูกเห็นผู้ปกครองบางคนมาและแข่งเสร็จรับลูกกลับเลย ก็เกิดอาการใจเสียอีกแล้ว พอเย็นเลิกเรียนปกติ ป๊าไปรับช้าตามปกติ ร้องไห้ใหญ่ ที่บอกว่า จะบอกว่ามันมีหลายเหตุปัจจัยที่อาจทำให้ลูกเกิดความกลัว
ล่าสุดไปรับลูก แต่เจอเพื่อนลูกนั่งตาแดงอยู่ พอเข้าไปคุยก็ร้องไห้บอกว่าคุณปู่ไม่มารับสักที วันนั้นฟ้าครึ้ม และฟ้าร้องอีกต่างหาก รายนี้หนักกว่าลูกแม่ดาวคือเขาเกิดอาการทางกายด้วย เครียด กังวลจนจิตสั่งกาย อาเจียนเลย น่าสงสารมาก แม่ดาวก็อยู่เป็นเพื่อน แสดงความเข้าใจถึงความกลัวของเขา เล่าเรื่องลูกชายของตัวเองให้ฟังว่า ดีโด้ก็แบบนี้ เคยเป็น และเล่าว่าดีโด้ทำอย่างไรให้แนวทางไว้ ให้เขาคิดต่อยอดเอา ระหว่างนั้นแม่ดาวก็เบี่ยงเบนความสนใจ ชวนคุยไปเรื่อย และบอกเขาว่าแม่ดาวจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณปู่จะมารับ เขาก็ผ่อนคลายขึ้น เริ่มพูดคุย ไม่อาเจียนเวลาผ่านไปจนกริ่ง 2 ดัง คุณปู่ก็ยังไม่มา เขาเริ่มเกิดอาการน้ำตาคลอ ๆ อีก แต่ครั้งนี้ไม่อาเจียน เลยชวนกันเดินหาคุณปู่ บางทีคุณปู่อาจจะมาแต่หาเราไม่เจอก็ได้ เดิน ๆ ไปสักพัก เจอครูประจำชั้น ครูถามว่าเป็นอะไร เขาไม่ตอบ แม่ดาวเลยตอบแทน ปรากฎว่า จู่ ๆ เขาเกิดอาการจะอาเจียนอีก
ครูบอกว่าให้เงียบ “อึบๆ เลยนะ ไม่ต้องร้อง จะร้องทำไม ” ครูให้เหตุผลว่าคุณปู่เดี๋ยวก็มาแล้ว กำลังขับรถมาอยู่ รถอาจติด ประโยคนี้คุ้นไหมค่ะ แม่ดาวได้ยินบ่อยมากๆๆๆ จากครูโรงเรียนเดิมๆ จนถึงโรงเรียนนี้ ไม่นับรวมผู้ใหญ่ทั่ว ๆ ไปหลายท่านที่เคยพูดกัน อย่างที่บอก “เดี๋ยว” เด็กไม่มั่นคง ไม่รู้ว่า “เดี๋ยว” คือนานแค่ไหน เขารู้สึกว่ามันนานมากสำหรับเขา จากนั้นครูก็พาเขาไปจากแม่ดาว รู้สึกแย่นิด ๆ ครูท่านนี้แม่ดาวเชื่ออย่างสนิทใจว่าท่านรักเด็กจริงๆ แต่วิธีการพูดของท่านที่แม่ดาวรู้สึกขัดใจเท่านั้น เรื่องครูแม่ดาวสอนลูกให้เขาเรียนรู้ที่จะปรับใจ ครูแต่ละคนรักเด็กเหมือนกัน แต่วิธีการสื่อสารอาจต่างกัน บางทีเหมือนดุ แต่เพราะรักและหวังดีประมาณนี้ สุดท้ายลูกชายตัวจริงก็มา แม่ดาวขอลูกว่า ขออยู่อีกสักนิด ปู่ของ...ยังไม่มา แม่สัญญาไว้ว่าจะอยู่จนกว่าปู่จะมารับ แม่ต้องรักษาคำพูด จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อ ........ไชโย คุณปู่มารับสักที โล่งใจ
สิ่งที่อยากจะสื่อสารโดยสรุป คือ เด็ก ๆ เกิดความกลัวได้ด้วยหลายเหตุปัจจัย ขั้นแรกให้ยอมรับและแสดงความเข้าใจ ลองพูดคุย หรือสังเกตุหาสาเหตุแล้วค่อย ๆ ช่วยแก้ไข บางทีเราอาจทำหน้าที่แค่คอยคอยรับฟัง แสดงความเข้าใจ ส่วนปัญหาจริง ๆ แล้ว ลูกเราเขาก็สามารถจัดการแก้ไขด้วยตัวเขาเอง หลายครั้งต้องเตือนตัวเองว่า “ปัญหาของลูก ฝึกให้ลูกแก้เอง” ต้องเตือนตัวเองจริง ๆ บางทีมันทำไปโดยอัตโนมัติด้วยสัญชาติญาณแม่ที่อยากปกป้องลูกเนอะ
ตั้งแต่มีลูกนี้ รู้สึกต่อมรักเด็กจะทำงานหนักฮ่าๆๆๆๆ
ไม่มีความเห็น