โดย ผู้จัดการออนไลน์ | 19 ตุลาคม 2549 13:43 น. |
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้มอบหมายให้นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ศึกษา กฎหมาย ประกาศกระทรวง และกฎระเบียบต่างๆ ตลอดจนหลักเกณฑ์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องอันเป็นอุปสรรคต่อการเริ่มต้นทำธุรกิจในแก่ภาคเอกชนในภาพรวม โดยหากกฎหมายใด มีความซ้ำซ้อน และยุ่งยาก จะให้เลิกกฎหมายนั้น ทั้งนี้ จะเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด บางส่วนจะเกิดผลได้ภายในรัฐบาลนี้ ซึ่งการยกเลิกกฎหมายต่างๆ ในการเริ่มต้นธุรกิจของผู้ประกอบการไทย จะเป็นส่วนช่วยให้เกิดผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น และเงินใต้โต๊ะได้อีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การปรับปรุง หรือยกเลิกกฎหมายใดๆ ต้องไม่สร้างความเดือดร้อน ให้แก่สิ่งแวดล้อม ชุมชน โดยจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม
“เรื่องนี้ ต้องทำเลย อย่าลืมว่าถือเป็นโอกาสจะทำได้ในรัฐบาลชุดนี้ ในสภาที่มีความเข้าใจเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี เพราะว่าคนที่ไปนั่งในสภาเป็น technocrat ทั้งสิ้น ทั้งปัจจุบัน และอดีต ซึ่งสนใจเรื่องเหล่านี้ เพียงเสนอไป แต่ละท่าน หลับตาก็รู้แล้วว่า คืออะไร แทบไม่ต้องศึกษาเลย ดังนั้นการแก้ไขเหล่านี้ จะไวมาก” รมช.อุตสาหกรรม กล่าว
ด้านนายจักรมณฑ์ ฃ กล่าวว่า ปัจจุบัน การเริ่มต้นทำธุรกิจของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ เอสเอ็มอี มีปัญหากว่าจะเริ่มต้นธุรกิจได้ ต้องทำเรื่องขอใบอนุญาตจากหน่วยงานที่มีอำนาจดูแลตามกฎหมาย จนทำให้ธุรกิจขนาดเล็กถูกกดไว้ เติบโตได้ยาก จึงมีแนวคิดอยากจะให้การเริ่มต้นธุรกิจของผู้ประกอบการ ไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาต ซึ่งขณะนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้เริ่มต้นให้ผู้ประกอบการมีความสะดวก โดยขอใบอนุญาตผ่าน e- license รวม 67 รายการ
“ในต่างประเทศ การเปิดโรงงานไม่ต้องขออนุญาตเลย แต่ห้ามมีปัญหากับกฎหมายสิ่งแวดล้อม ส่วนในประเทศไทย จะทำธุรกิจใดๆ ต้องขออนุญาตหลายหน่วยงาน ทั้งขอตั้งโรงงาน ขอน้ำ ขอไฟ ขอตำรวจ เพราะเรามีกระทรวงมาก ผมจึงอยากให้เลิกกฎหมายต่างๆ นี้ แต่หน่วยงานเหล่านั้น ยังมีอำนาจดูแลตามกฎหมายอยู่ จึงต้องศึกษาแนวทางอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการต่อไป ” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
ทั้งนี้ นายปิยะบุตร กล่าวถึงนโยบายที่สั่งการให้ทบทวนโครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่น กับโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก ทั้งสองโครงการคงไม่ยกเลิก แต่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานเสียใหม่แน่นอน เพราะที่ผ่านมา แม้จะแนวคิดที่ดี แต่ไม่สร้างประโยชน์ให้เอสเอ็มอี เพียงแค่สร้างพ่อครัว แม่ครัวขึ้นมาเท่านั้น แล้วบอกว่า ประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ ต้องปรับมาดูในภาพรวมแทน อย่างโครงการกรุงเทพฯ เปลี่ยนมาดูในเรื่องอุตสาหกรรมสิ่งทอ และเครื่องนุ่มห่มทั้งระบบ ส่วนโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก เปลี่ยนมาดูในภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารให้เข้มแข็ง และเป็นประโยชน์แก่เอสเอ็มอี ส่วนงบประมาณในการดำเนินโครงการ ใช้งบประมาณเดิมที่เหลืออยู่ แต่ให้มีประโยชน์มากขึ้น
นอกจากนี้ นายปิยะบุตร ได้กล่าวในการเป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการจัดทำแผนปฏิบัติการส่งเสริมเอสเอ็มอี ปี 2550-2551 ซึ่งจัดโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.)ว่า ตามนโยบายรัฐบาล ได้มอบหมายให้ สสว. เร่งนำเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการส่งเสริมเอสเอ็มอี อยู่พื้นฐาน การมีส่วนรวมของภาคเอกชน และหลัก 4 ป ได้แก่ โปร่งใส เป็นธรรม ประหยัด และมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ นโยบายหลักด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ต้องยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน เพราะปัจจุบัน และในอนาคตภาคธุรกิจ มีความเสี่ยงในการทำธุรกิจ มากขึ้น หากไม่ปรับตัว ไม่เกิน 5-10 ปีข้างหน้าวิกฤตเศรษฐกิจแบบปี 2540 จะกลับมาอีกแน่นอน โดยเป็นผลแห่งโลกยุคโลกาภิวัฒน์ การเปิดเสรีการค้า การลงทุน และการเงิน แรงกดดันจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การการค้าโลก (WTO) การเปิดเขตการค้าเสรี (FTA) เป็นต้น
ขณะนี้โลกเข้าสู่ยุคคลื่นลูกที่สาม จำนวนกลุ่มชนชั้นกลางและกลุ่มผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งในประเทศไทยมี สามล้านคน จะเพิ่มเป็น 11 ล้านคนในอีกสิบปีข้างหน้า ประเทศอื่นๆก็มีแนวโน้มเช่นเดียวกัน คนกลุ่มนี้มีเงินออมและมีกำลังซื้อจึงขอให้เอสเอ็มอีไทยเร่งศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้ในตลาดโลก
นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการ สสว.กล่าวว่า สสว.จะสรุปผลการประชุมทบทวนโครงการต่างๆภายใต้แผนปฏิบัติการส่งเสริมเอสเอ็มอีฯ ตามนโยบายของรองนายกฯที่ให้นำนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมให้สามารถพึ่งตนเองได้มากขึ้นให้แล้วเสร็จภายในสองสัปดาห์นับจากนี้ แล้วนำเสนอ รมช.อุตสาหกรรมต่อไป