เครื่องประดับใจ
การที่เราจะทำสิ่งใดสักอย่างในชีวิตสิ่งแรกๆที่เราควรจะต้องมี คือ ความเชื่อว่าเราจะสามารถทำสิ่งนั้นได้ ที่ความเชื่อนี้เป็นทัศนคติในทางบวก หรือเป็นการคิดในแง่บวกไปว่าสิ่งๆนั้นต้องสำเร็จแน่นอน ถ้าเราลองลึกเข้าไปอีกว่า ความเชื่อนั้นที่เรามั่นใจในสิ่งนั้นที่ได้ทำมันเกิดมาจากอะไร ? แล้วทำไมเราต้องเชื่อ ซึ่งบางคนได้ถามตนเองอยู่บ่อยครั้งในคำถามดังกล่าว “คำตอบที่ผุดขึ้นจากหัวของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน” เช่น “ฉันเชื่อเพราะฉันทำสิ่งนั้นดีที่สุดแล้ว” หรือ “ฉันเชื่อเพราะฉันรักในสิ่งนั้น” หรือ “ฉันเชื่อมั่นว่าฉันทำได้เพราะฉันเป็นคนลงมือทำ” แล้วเมื่อได้ทำสิ่งนั้นๆไปแล้วคนส่วนใหญ่มักจะพูดปลอบใจตนเองว่า “เราทำดีที่สุดแล้ว” แต่ในอีกหลายๆคนกลับพูดว่า “ทำไมนะฉันถึงทำไม่ดีเลย” กลับคร่ำครวญเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งการคร่ำครวญนี้เป็นการมองในแง่ลบและจะทำให้เราเสียสุขภาพจิตไปในที่สุด ที่ตนเองเป็นผู้ทำให้ตนเองเสียสุขภาพจิตไปเสียเอง...มีหลายคนกล่าวมา “เพียงเรามีความเชื่อเราก็จะสามารถทำได้” ขอเพียงแค่เราเชื่อว่าเราสามารถทำได้ตั้งแต่เริ่มต้น เท่ากับเรามัพลังใจในการกระทำสิ่งนั้นต่อไปอย่างไม่ลดละ “การเริ่มต้นที่ดีเท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง” ขอเพียงเราเริ่มต้นได้ดีในการทำสิ่งนั้นๆและที่สำคัญจำต้องมีความเชื่อว่าเราสามารถทำได้ จะทำให้เราทุกคนมีเครื่องประดับทางใจที่ทรงคุณค่าต่อการรักษาให้คงอยู่...
เครื่องประดับใจเป็นเหมือนดั่งความเชื่อในแง่ดี ที่เราควรจะมองอยู่เป็นประจำ การมองโลกในแง่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข การมีความเชื่อในแง่ดีที่นอกจากเราจะมีความเชื่อในตนเองแล้วเราต้องมีความเชื่อใน ครอบครัว เพื่อน น้อง พี่ และคนร่วมงาน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นบุคคลภายนอกด้วย “แต่จะทำยังไงล่ะที่เชื่อในทางบวกได้” การเชื่อในทางบวกเป็นแง่คิดที่เราทุกคนสามารถฝึกกันได้ การคิดสามารถฝึกกันได้ โดยเราไม่ต้องไปฝึกที่ไหนแต่ให้ฝึกที่ภายในของเราเท่านั้นโดยการหัดมองเหตุการณ์ต่างๆนานาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอาจพูดกับตนเองว่า “สักวันเราจะสามารถทำได้” หรือ “สิ่งนั้นที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดไปอีกหน่อยความโชคดีก็จะเข้ามา” สิ่งที่ยากที่สุด คือ ความเชื่อในทางดี หลายคนเชื่อในตนเองมาก มีความมั่นใจมาก แล้วหลายคนเชื่อใจตนเองน้อยมาก มีความมั่นใจในตนเองน้อยมาก แล้วในอีกหลายๆคนที่เชื่อใจเพื่อนมาก หรือไม่เชื่อเลย ซึ่งปัญหาที่กล่าวมาเป็นปัญทางใจทั้งสิ้น ที่เราสามารถที่จะฝึกการมองโลกในแง่ดีนี้เราสามารถฝึกได้ตลอดด้วยตัวตนของตัวเอง แต่เรื่องราวต่างๆที่อยู่ในบริบทที่ไม่ดีก็ใช่ว่าเราจะมองในแง่ดีไปทั้งหมด อาจมีแง่ลบบ้าง แต่ให้คำนึกถึงแง่บวกเป็นหลัก คนที่ฝึกคิดในแง่บวกเป็นหลักจะเกิดกลายเป็นคนที่มักมองโลกในแง่ดี แล้วคนนั้นจะมีสุขภาพจิตที่ดีเปรียบเหมือน “เกราะทางความคิด” ที่อยู่ติดตามตัวเราไปตลอกเวลาทำให้เมื่อเกิดเรื่องราวต่างๆนานาขึ้นในชีวิต เกราะนั้นจะทำงานแล้วสั่งเราอัตโนมัติว่าสิ่งนั้นจำต้องดี...
ความคิดในแง่ดี ความเชื่อในแง่ดี ไม่ได้เกิดอยู่ที่ไหนแต่เกิดอยู่ที่ใจที่เราจะมอง โดยลองมองในแง่ดี โดยเราลองมองในแง่ดีสักหลายๆเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ชีวิตเราที่ดำเนินอยู่ทุกๆวันไม่ได้มีเพียงเรื่องความสุข แต่ถ้าเราลองมองอย่างนุ่มลึกเข้าไปแล้วเราอาจมองว่าชีวิตคนเรามีแต่ความทุกข์ขึ้นอยู่กับว่าเราจะอยู่กับความทุกข์ยังไงให้เราสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข การมองโลกในแง่ดีเปรียบเหมือนกับ “เครื่องประดับใจ” ที่จะคอยเป็น เกราะคุ้มกันเราจากภายในใจ เมื่อเรามีความทุกข์และไม่สะบายใจ.... ให้มองในแง่บวกเข้าไว้นั่นล่ะดี
*ขอขอบคุณภาพสวยๆจาก cherryblossom.tarad.com
อ่านบันทึกนี้แล้วรู้สึกชื่นชม และดีใจนะคะ
ก้าวต่อไปอย่างมีสติ เป็นกำลังใจให้
เยี่ยมมากค่ะ
ขอขอบคุณมากๆ... สำหรับคำติชมข้างต้นครับ...