ละครใน
ประวัติความเป็นมา
ละครในพบครั้งแรกในหนังสือบุณโณวาทคำฉันท์ พรรณาว่าแสดงเรื่องอิเหนา ตอนลักบุษบาหนีเข้าถ้ำ แสดงว่าละครในแสดงแพร่หลายในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีแสดงในงานสมโภชพระพุทธบาท ดังคำประพันธ์ว่า
ฟายฟ้อนละครใน บริรักษจักรี
โรงริมคีรีมี กลลับบ่ แลชาย
ล้วนสรรสกรรจ์ อรอ่อนลอออาย
ใครยลบ่อยากวาย จิตเพ้อละเมอฝัน
วิมลศรี อุปรมัย (๒๕๒๖, ๑๔๙)
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงฟื้นฟูการละครครั้งใหญ่ ดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่องประวัติของการละครห้าสมัย ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครใน เพื่อเป็นต้นฉบับสำหรับพระนครขึ้นทั้ง ๔ เรื่องอย่างสมบูรณ์ แต่แบบฉบับการฟ้อนรำไม่ได้เคร่งครัด พึ่งจะมาพิถีพิถันในเรื่องท่ารำและแบบแผน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนเรียกว่า เป็น “ยุคทองของละครใน”
คำว่า “ละครใน” สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระราชดำรัสว่า คงจะมาจากคำว่า “นางใน” ละครข้างใน ซึ่งใช้เรียกกันในชั้นแรก แต่ต่อมาเรียกให้สั้นเข้าจนเหลือแต่“ละครใน” เมื่อละครในเกิดขึ้นและใช้ผู้หญิงในวังเป็นผู้แสดง ละครที่ผู้ชายแสดงอยู่ภายนอกพระราชวังเดิมจึงเรียกกันว่า “ละครนอก” เป็นคำคู่กัน
แบบแผนการเล่นละครในกับละครนอกต่างกันมากกล่าวคือ ละครในมุ่งการร่ายรำที่ประณีตงดงามและเพลงที่ขับร้องไพเราะเป็นสำคัญ และมักจะมีบทพรรณาความงดงาม ความวิจิตรพิสดารของสิ่งต่างๆ ในขณะที่ละครนอกไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ มุ่งแต่ความรวดเร็วในการดำเนินเรื่อง และการเล่นตลกคะนองให้เป็นที่สนุกสนาน ทำความบันเทิงให้แก่ผู้ชมละครได้มากที่สุด กระบวนการฟ้อนรำและท่วงทำนองเพลงดนตรีของละครใน จะมีลีลาที่เชื่องช้าและนุ่มนวลกว่าของละครนอกมาก ตัวละครไม่ได้ร้องบทเอง อาจเป็นเพราะเห็นว่าการรำอย่างละครในต้องใช้ความประณีตอ่อนช้อย เหน็ดเหนื่อยมากพออยู่แล้ว ถ้าผู้แสดงจะต้องร้องเพลงด้วยก็จะแสดงศิลปะในการรำได้ไม่เต็มที่
วิธีการแสดง
เนื่องจากผู้แสดงเป็นนางในซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีกิริยามารยาทงดงาม เพราะฉะนั้น ละครในจึงมีความมุ่งหมายอยู่ที่ศิลปะของการร่ายรำต้องให้แช่มช้อย มีสง่า ไม่นิยมแสดงตลก ขบขัน โลดโผน ทั้งยังต้องรักษาแบบแผนจารีตประเพณี เพราะเหตุนี้ ผู้ประพันธ์ละครในจึงต้องพิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำให้สละสลวย ระมัดระวังที่จะไม่ให้มีคำตลาดเข้ามาปน
ผู้แสดงละครในนั้นต้องตีบทให้แตก คำว่า ตีบท เป็นภาษานาฏศิลป์ หมายถึง การรำบท การรำบทก็คือการแสดงท่าทางแทนคำพูด เรียกว่า “ภาษาท่า”
ในเรื่องแบบแผนของละครใน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเห็นว่าละครในเป็นการนำเอาแบบแผนของการแสดง ๓ อย่างมาผสมกัน กล่าวคือ ได้เรื่องที่เล่นมาจากโขน ได้กระบวนการเล่นและชื่อเรียกว่า “ละคร” มาจากละครผู้ชายที่เล่นกันอยู่เดิมและนำเอาวิธีร้อง วิธีรำ มาจากระบำ ละครในจึงไม่ให้ตัวละครร้องบทเองอย่างละครนอก
เพลงร้อง
ในการแสดงละครในนั้นผู้แสดงไม่ต้องร้องเอง เพราะมีต้นเสียงร้องแทน คงจะเห็นว่าถ้าตัวละครร้องเองแล้วจะทำให้ลีลาฟ้อนรำไม่งดงามเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นบทดำเนินเรื่องหรือบทเจรจา ก็จะมีต้นเสียงและลูกคู่ร้องเป็นลำนำเพลงต่างๆ ส่วนมากให้ร้องร่ายเป็นพื้นตัวละครเป็นแต่เพียงรำไปตามบทร้องหรือตามหน้าพาทย์ที่กำหนดไว้ มีทำนองและจังหวะนิ่มนวล สละสลวย ไม่รุกเร็วเหมือนเพลงละครนอก เพื่อให้ตัวละครได้แสดงศิลปะในการร่ายรำได้งดงาม และแสดงท่าทีนวยนาด อย่างที่เรียกว่า “ทีท้าวทีพญา”
ดนตรี ใช้วงปี่พาทย์
เรื่องที่แสดง มักนิยมแสดงเพียง ๓ เรื่อง คือ อุณรุท รามเกียรติ์ และอิเหนา
การแต่งกาย พิถีพิถันตามแบบแผนกษัตริย์จริงๆ เรียกว่า ยืนเครื่องทั้งตัวพระและตัวนาง
สถานที่แสดง ในระยะแรกการแสดงละครในจะแสดงภายในพระราชฐานเท่านั้น ในสมัยต่อมาโอกาสที่แสดงละครใน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวว่า “การเล่นละครในไม่เล่นรับงานหาเหมือนละครนอก เพราะละครในมักเป็นละครผู้มีบรรดาศักดิ์ ฝึกหัดไว้สำหรับประดับเกียรติยศเป็นแต่แสดงดูกันเอง หรือแสดงในการบำเพ็ญกุศล” ระยะหลังไม่จำกัดสถานที่แสดง
แชร์ความรู้จ้า...........Credit by ครูอัษ รักษ์นาฏศิลป์ไทย
เกือบลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว ขอบคุณที่ทำให้ฟื้นความรู้ความจำค่ะ