ลุงเหมย
ข้าราชการครูบำนาญ นายชุมพล บุญเหมย

การฝึกจิต ตอนที่ ๑๔


ขอน้อมกราบท่านกัลยาณธรรมและรัตนมิตรของอีตาลุงเหมยทุกท่าน.....

          ก็เสร็จสิ้นกิจกรรมทางศาสนาไปอีกหนึ่งกิจกรรม คือกิจกรรมวันลอยกระทง สำหรับในล้านนาก็มีการเทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์  และที่วัดน้ำโจ้ อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นวัดในหมู่บ้านของอีตาลุงเหมยก็มีกิจกรรมอีก ๑ กิจกรรม คือ กิจกรรมการเบิกเนตรของ " พระเจ้าแก้วมหาจักพรรดิ กำลังแผ่นดิน สมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า "..........ทีนี้ก็วกกลับเข้ามาถึงเรื่องการฝึกจิตต่อจากคราวก่อน  ซึ่งเราก็ทราบกันแล้วว่า การที่เราฝึกจิตทีไรจิตไม่สงบสักที ไม่สำเร็จสักที ทำให้เกิดอาการว้าวุ่น ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ก็เพราะว่าจิตของเรามีเครื่องรัดให้ติดอยู่กับวัฏฏสงสาร เรียกว่าสังโยชน์ ๑๐ ประการ ไงล่ะ....เพราะการทำตนของเราเป็นอริยะจะเป็นหนทางไปสู่สุขคติ ไปสู่วิมุติ อันเป็นอริยะ ท่านครับ องค์พระศาสดาของเราท่านตรัสว่า....ภิกษุ ( และอุบาสก อุบาสิกา ) ไม่ประกอบเนือง ๆ ซึ่งการอบรมภาวนา (ทำกัมมัฏฐาน) ลำพังเกิดความปรารถนาจะให้จิตพ้นจากอาสวะ ย่อมพ้นไม่ได้ เพราะมิได้อบรมธรรมต่าง ๆ เปรียบเหมือนแม่ไก่ไม่กกไข่ มีแต่ความปรารถนาจะให้ลูกออกจากไข่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ( ไช่ไหมครับท่าน )...นอกจากนั้นพระองค์ท่านยังตรัสถึงลักษณะพระธรรมวินัย  ๗  อย่าง ให้แก่พระอุบาลี คือ เพื่อลดความเพื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ ประการสุดท้ายเพื่อพระนิพพาน

(

 

 

อายุของมนุษย์ จะลดลง ๑ ปี ในทุก ๆ ๑๐๐  ปี......พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ แต่ละพุทธันดรนั้น อายุของมนุษย์แจะแตกต่างกันออกไป มนุษย์ในบางพุทธันดรอาจจะมีอายุยืนยาวถึง ๒ แสนปี และอายุของมนุษย์จะต่ำที่สุด ๑๐ ปี วนเวียนกันไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงห้ามพระภิกษุไม่ให้ค้นหาว่ามนุษย์เกิดมาจากไหน ถ้าภิกษุใดค้นหา ภิกษุนั้นจะเป็นบ้า เพราะการเกิดของมนุษย์เป็นอจินตัย หมายถึง ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อมนุษย์มีอายุยืนยาวมาก ๆ ก็จะเบื่อกับการอยู่อย่างยาวนานจะงดเว้นจากการทำบุญทำทาน เริ่มผิดศีลผิดธรรม เข่นฆ่าประหัตประหารกัน ทุก ๆ ๑๐๐ ปี อายุจะสั้นลง ๑ ปี เมื่ออายุของมนุษย์สั้นเพืยง ๑๐ ปี จะเกิดกลียุค มีผัวมีเมียกันที่อายุ ๓ ปี พวกที่เบื่อหน่ายก็จะหนีจากสังคมเข้าป่า เข้าปฏิบัติธรรมกันไป จากนั้นอายุของมนุษย์ก็จะเพิ่มขึ้นอีก ๑ ปี ในทุก ๆ ๑๐๐ ปี วนเวียนกันไปเรื่อย ๆ
          ศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน อายุของมนุษย์อยู่ที่ ๑๐๐ ปี อายุของศาสนาพระองค์ กำหนดไว้ที่ ๕,๐๐๐ ปี พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ๒๕๕๕ ปี ถ้าทุก ๆ ๑๐๐ ปี อายุลดลง ๑ ปี ดังนั้นในปี ๒๕๕๕อายุจะลดลง ๒๕ ปีครึ่ง คือลดลง ๒๕ – ๒๖ ปี นั่นคือ อายุของมนุษย์ในปัจจุบันจะมีอายุยืนอยู่ที่  ๗๔ – ๗๕ ปี (แล้วเรากำลังมัวทำอะไรอยู่ละ ทำไมไม่ฝึกจิดให้สงบทีละน้อย ทำบ่อย ๆ ล่ะ..เออลุงนี่งงจริง )......

 

ก่อนจะถึงศาสนาของพระศรีอริยเมตตรัย ชาวพุทธส่วนใหญ่จะเข้าใจผิด คิดว่าพอหมดศาสนาของพระสมณโคดม ศาสนาก็หมดไป...ไม่ใช่อย่างนั้นครับท่านที่เคารพ เมื่อหมดจากศานาพุทธในปัจจุบันที่ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว ความเปลี่ยนแปลงของสัตว์โลกก็จะเป็นไปตามการลดการเพิ่มอายุตามที่ได้กล่าวไว้เบื้องต้นแล้ว จนกระทั่งเข้าสู่กลียุค และผ่านสุญกัป ( อ่านว่าสุน – ยะ – กับ ) ซึ่งหมายถึงระยะเวลาเป็นกัปที่ไม่มีศาสดาองค์ใดมาตรัสรู้ และไม่มีศาสนา เป็นยุคที่มนุษย์วุ่นวายมาก แต่ผู้ปฏิบัติธรรมก็ยังมีอยู่ส่วนหนึ่งเหมือนเดิม เป็นเวลายาวนานนับเป็นอสงขัย ในช่วงหนึ่งของอายุมนุษย์ที่ ๘๐,๐๐๐ ปี พระศรีอาริย์จึงลงมาจุติเป็นพระพุทธเจ้าอบรมสั่งสอนคนในหลักธรรมเดียวกันกับปัจจุบันคำสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เหมือนกันหมด อยู่ที่ใครจะมีวาสนาบารมีเข้าใจได้แค่ไหนเท่านั้น หลักการปฏิบัติก็คือมรรค ๘ เหมือนกันหมด แต่ละศาสดาจะแตกต่างกันตรงที่การกำหนดอายุของศาสนา ในปัจจุบันพระพุทธเจ้าทรงกำหนดอายุของศาสนาที่ ๕,๐๐๐ ปี บางองค์กำหนดอยู่ที่ ๘๐,๐๐๐ ปีบ้าง ๑๐๐,๐๐๐ ปีบ้าง บางองค์ก็ไม่กำหนด เช่นศาสนาของพระศรีอาริย์ ไม่กำหนดระยะเวลาของศาสนา ปล่อยให้เป็นไปตามความเสื่อมสลายในจิตใจของมนุษย์

 

          ทีนี้อีสตาลุงก็ขออนุญาตอธิบายความของคำบางคำที่เล่าผ่านไป ให้ทุก ๆ ท่านได้เข้าใจ เช่น คำว่า ๑ กัป (หรือบางแห่งก็เขียนว่า ๑ กัลป์ , อสงขัย , พุทธันดร) เหล่านี้จะเป็นระยะเวลาที่ยาวนานแค่ไหน.......นักปราชญ์ ( นักปราชญ์ นะ ซึ่งอีตาลุงก็จะเทียบความหมายว่าเป็นผู้ใดก็ไม่รู้ได้ รู้แต่ว่าท่านได้พูดเล่าต่อกันมาว่านักปราชญ์  แปลว่า ผู้รู้ ) ท่านเปรียบเทียบระยะเวลา ๑ กัป ว่า....มีแท่งหินยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ( ๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร ) ในทุก ๆ ๑๐๐ ปี เทวดาจะนำผ้าแพรบาง ๆ มาลากผ่านภูเขาหินนี้เพียง ๑ ครั้ง แล้วเหาะกลับสู่สวรรค์ ถ้าภูเขาหินนี้ราบเรียบเสมอกันแล้วเมื่อใดจึงเรียกว่า ๑ กัป และถ้านับกัปไม่ได้แล้ว จึงเรียกว่า อสงขัย ( อ่านว่า อะ – สง – ไข ) ส่วนพุทธันด ล่ะ ก็คือนับแบบเทียบกัปนั่นแหละ แต่จาก ๑ โยชน์เป็น ๑๐๐ โยชน์ จากทุก ๆ ๑๐๐ ปี เป็นทุก ๆ ๑ พันปีทิพย์ ( พันปีทิพย์ คือ พันปีทิพย์บนสวรรค์นะจ๊ะ ไม่ใช่พันปีของมนุษย์ )

 

          ขอคุย(อวด)หน่อยเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าแก้วมหาจักพรรดิ์กำลังแผ่นดินที่อีตาลุงคุยไว้ข้างบนนี้ เป็นพระพุทธปฏิมาที่สวย(ที่สุด)  ในบรรดาที่อีตาลุงได้เห็นมา นี่ก็กำลังคิดจะทำเป็นรูปภาพของพระองค์ท่านทำเป็นปฏิทินสำหรับแจกให้แก่ศาสนิกชนผู้ใคร่ในธรรม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่พระเดชพระคุณเจ้าท่านเจ้าอาวาสท่าน อย่างไรแล้วก็ขอให้มีแนวโน้มไปในทางดีก็จะได้แจกจ่ายให้ทุก ๆ ท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมบันทึก(ได้เรื่องบ้างไม่ได้เรื่องบ้าง)ของอีตาลุงเหมย...วันนี้ขอกราบเพียงเท่านี้ก่อน...ขอสัจธรรมจงตั้งมั่นในดวงจิตของทุก ๆ ท่าน..เทอญ...สาธุ

 

หมายเลขบันทึก: 553973เขียนเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2013 13:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2013 13:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

จงกตัญญูต่อผู้ให้มนุษย์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข กังวล มีอายุเป็นหมื่นเป็นแสนปี (เหล่านี้มีหลักฐานมาตั้ง6000 กว่าปีแล้วนะ)

อย่ากล่าวยกเลิกระบบที่เราท่านเสพ หรือกล่าวเนรคุณ พยายามลบรูป ลบนาม ไม่มีขันติธรรมรอพบ เร่งเร้า เร่งรีบไปเนรคุณกันทำไมล่ะ. น่าจะกตัญญูไปพลางๆนะ ใครไม่เห็นด้วย และมีเหตุผลกว่านี้ ลองมาแนะนำดูหน่อยซิ เผื่อว่า เราจะร่วมเนรคุณกับผู้ดำรงการเนรคุณกัน

ไม่ค่อยได้มาทักทายลุงเหมย สบายดีนะจ๊ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท