เมื่อคืนและก่อนหน้านี้อีกหลายๆคืนได้ติดตามดูละครเก่าเอามาเล่าใหม่เรื่องหนึ่งที่กำลังดังมากคือ "ทองเนื้อเก้า" จำได้ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่ข้าพเจ้ายังเด็กกว่านี้มากเคยดูละครเรื่องนี้มาก่อนแล้ว และยังจำความรู้สึกได้ดีว่าเศร้ามากสงสารวันเฉลิมลูกลำยองและลูกคนอื่นๆของลำยองที่ต้องลืมตาออกมาดูโลก โดยมีแม่ที่บกพร่องต่อหน้าที่ ทั้งในทางกฎหมายและจริยธรรมเช่นลำยองแต่ในครั้งนั้นยังเด็กเกินกว่าจะรู้ได้ว่าเรื่องราวเหล่านี้มีอยู่จริงในสังคมนี้
สำหรับเมื่ออดีตนั้นปัญหาเช่นนี้อาจไม่สามารถแก้ไขได้อาจต้องปากเปียกปากแฉะสั่งสอนอบรมลำยองให้คิดได้กลับตัวใหม่และรอหวังผลตามแต่บุญแต่กรรมของเด็กว่าแม่จะสำนึกได้หรือเปล่าก็อาจเป็นได้
(เครดิตภาพจาก http://home.truelife.com)
แต่เมื่อมันถูกนำมาทำซ้ำและฉายใหม่ในปัจจุบัน เด็กคนนั้นผู้ซึ่งเคยนั่งดูละครเรื่องนี้ด้วยความเศร้าเสียใจ สงสารคนนั้นกลายร่างเป็นทนายความที่โลดเล่นอยู่บนหนทางแห่งการช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ประสบปัญหาทั้งเด็กผู้ใหญ่ผู้หญิงโดยมิได้จำกัดเพียงผู้มีสัญชาติไทยได้กลับมาดูละครเรื่องนี้อีกครั้งอารมณ์ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
มันกลับกรายเป็นความรู้สึกห่วงใยสังคมที่กำลังเสพละครเรื่องนี้และสงสัยอย่างยิ่งว่าจะมีกลุ่มคนสักกลุ่มไหมที่พบเห็นปัญหาของเด็กอย่างในตัวละครหรือจะมีคนที่กำลังสร้างปัญหาให้กับสังคมเหมือนเช่นที่ปรากฎในละครกำลังดูมันอยู่บ้างหรือไม่
เมื่อดูแล้วคิดอย่างไรเชื่อตามนั้นหรือไม่ สังคมรอบข้างเด็กที่กำลังประสบปัญหาคนนั้นที่อาจกำลังเผชิญปัญหาอยู่ที่ใดที่หนึ่งที่เรายังไม่รู้เข้าใจว่าตนทำได้เพียงมองดูด้วยความเวทนาพยายามช่วยเหลือแต่ทำไม่ได้เพราะจำนนด้วยความไม่เอาไหนของมารดาเด็กอยู่หรือเปล่าท้ายที่สุดเราก็จำต้องปล่อยให้เด็กทุกข์ทรมานอยู่กับสภาพเช่นนั้น
รอพิสูจน์ว่าเป็นทองคำแท้ไม่หวั่นไหวไปกับสังคมเลวร้ายรอบตัวและหลุดพ้นออกมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของสังคมมันเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่ แน่นอนข้าพเจ้าไม่มีคำตอบรู้เพียงมีความกังวลวิ่งวุ่นอยู่ในใจ เลยตัดสินใจเขียนดีกว่าเผื่อมีใครอ่านแล้วบังเอิญได้เจอกับภาพปัญหาเหมือนเช่นในละครจะได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเด็กได้โดยไม่ดูเหมือนเสือกเรื่องในครอบครัวคนอื่นเขาแต่เป็นหน้าที่ตามกฎหมายเลยทีเดียว
เห็นด้วยครับ บางคนดูสนุกสนานไม่ย้อนดูตัวหรือสังคมรอบข้าง ยังพาลอาจจะทำอย่างในละครที่มองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับเพลงเพื่อชีวิต ที่วัยรุ่นไปกระโดดโลดเต้น เมามาย และต่อยตีกันในท้ายสุด..ย้ำให้เห็นว่าบทเพลงหาเป็นบทเรียนให้เขาเรียนรู้ หากเป็นตัวอย่างที่พวกเขาเอาอย่างเสียเอง...
ขอบคุณข้อคิดดีๆครับ
ละครเรื่องนี้แรงมากค่ะ
เหมือนมีด 2 คมสำหรับเยาวชนหรือเด็กๆ
หากจำเป็นต้องดู ต้องมีผูั้ใหญ่แนะนำค่ะ
สำหรับผู้ใหญ่อย่างดิฉัน บางทีดูแล้วหดหู่เหลือเกินค่ะ แต่ก็น้อยครั้งที่จะเปิดดู ชอบอ่านหนังสือมากกว่าค่ะ
ขอบคุณบทวิเคราะห์ลำยองนะคะ
คะ เข้าใจเอาเองว่ามันน่าจะเกิดจากคนที่ฟังเพลงเพื่อชีวิตรุ่นปัจจุบันบางคนบางกลุ่มที่ฟังไปกระโดดโลดเต้นไป เมามายจนเหยียบเท้ากัน จบลงที่ต่อยตีกันอย่างที่กล่าวมา อาจไม่ได้เข้าใจที่มาของบทเพลงเพื่อชีวิตว่าจริงแท้แล้ว เขาประสงค์จะสือสารอะไรกับสังคม บันเทิง เอามัน อย่างเดียว หรือต้องการสือสาร ข้อมูลที่สร้างสรรค์ผ่านบทเพลงกันแน่ และเขาอาจมีเจตนาสื่อสารความทุกข์ยากของคนยากคนจน คนธรรมดา สามัญ ไม่มียศศักดิ์ทั่วๆไปในสังคมให้คนอื่นๆในสังคมรับรู้เข้าใจ พอไม่เห็นเจตนาฟังแต่ดนตรีกับเนื้อร้องเอามัน มันก็คิดอะไรไม่ได้ คิดได้แต่เรื่องตนเอง ไม่ได้ช่วยเหลือจรรโลงอะไรให้สังคมขึ้นเลย เฮอคิดแแล้วเหนื่อยใจ แต่ไม่เป็นไรคะ เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ ทำำได้แค่กำหนดตัวเราเองให้ดำเนินชีวิตอย่างไร กำหนดได้ว่าในชาติภพนี้เราจะใช้ชีวิตเพื่อประโยชน์ของใครบ้าง ทำต่อไปคะตราบเท่าที่มีแรงกายแรงสมองจะทำ เป็นกำลังใจสำหรับทุกการทำดีคิดดีคะ ขอบคุณ
ใช่คะแรงมากๆๆ จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ดิฉันก็ตัดปัญหา ไม่ให้ตนเองรู้สึกหดหู่ เครียด เศร้า กับสิ่งที่เห็นในละครโดยการไม่ดูละครเลยเหมือนกัน คะ แต่มีผู้ใหญ่ที่นับถือท่านหนึ่งเตือนว่าทำอย่างนั้นไม่ดี ละครจะสื่อสารให้เรารู้ความเป็นไปของสังคม ปัญหาสังคมแต่พอกลับมาดูบ้างก็เป็นอย่างที่เห็นแหละมันอดคิดไม่ได้
ที่คุณพูดถึงเรดละครมาด้วยก็ดีเหมือนกันคะ อยากมีเรื่องแลกเปลี่ยนด้วยในประเด็นนี้ คำถามคือถ้าผู้ใหญ่ที่ดีกับเด็กก็ไม่ได้อยู่ในภาวะที่สามารถให้คำแนะนำกับเด็กที่กำลังดูละครแรงๆอยู่ด้วยได้ บทสรุปมันจะเป็นอย่างไร ตกลงการแก้ปัญหาสิ่งที่ไม่ควรสื่อสารต่อสาธารณะโดยไม่ไตร่ตรองอย่างดียิ่ง (ไม่สนับสนุนการเซ็นเซ่อร์จนเกินของเขตนะคะ) โดยใช้วิธีจัดเรดรายการของสังคมไทยอย่างปัจจุบัน เป็นการแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานการเข้าใจบริบทของสังคมไทยทั้งสังคมดีแล้วหรือยัง หรือจริงๆแล้วต้องไตร่ตรองหาวิธีการมากกว่านี้เช่น 1. มีช่องทีวีสาธารณะที่มีรายการสำหรับเด็กและครอบครัวให้เป็นตัวเลือกที่มากขึ้น คนจะได้เลือกได้เองว่าจะเสพข้อมูลไหนดี 2. ทำความเข้าใจกับสาธารณะให้มากขึ้นถึงโทษภัยของการเสพข้อมูลที่มีความเสี่ยงต่อทัศนะในการดำเนินชีวิต
3. ขึ้นตัววิ่งเพื่อแจ้งว่าการระทำเหล่านั้นเป็นอย่างไร เหมือนที่แจ้งทุกครั้งที่มีฉากการเล่นการพนัน (แต่ต้องไม่ใช้ข้อความที่เป็นการ
สร้างอคติทางเพศ รสนิยมทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนาและอื่นๆ)