ดวงประทีปเเห่งเเรงบันดาลใจ ๗


ภาพดีดี ให้เราเก็บไว้เป็นเเรงบันดาลใจส่วนภาพที่เลวร้ายให้นำมาเป็นบทเรียนชีวิตต่อไปในเส้นทางของเราทุกคน

พลังใจที่ได้มอง

 

         เสียงอึกทึกกึกก้องดังกังวานอยู่ในมุมของความเป็นตัวตน  ภาพมายาที่ชวนให้ตนสำผัสกับความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดโดยความรู้สึกนึกคิดของผู้สื่อสาร  ส่งมาให้กระจ่างใจในทัศนะที่ย้ำคิดให้ได้เห็น ให้ได้มอง ให้ได้สำผัส สิ่งที่สามารถย้ำเตือนจิตใจเราได้ดี คือ ภาพที่ยังตราตรึงอยู่ในอดีต ปัจจุบัน เเละอนาคต  สามารถสะท้อนความเป็นตัวตนได้ในทุกมุมของความรู้สึก ความเศร้าต่างๆนานาๆ  ความเสียใจต่างๆนานา  ความรักต่างๆนานา  ความฝันต่างๆนานา จากกระบวนการที่เรียกว่า "การสื่อด้วยภาพ" สามารถทำให้เราคล้อยตามได้อย่างประหลาดจิต  "จุดประกายที่ความคิดเเล้วจบลงที่ความคิด" ซึ่งสะท้อนใจมาสู่ใจเราอย่างมี "พลังใจในการเดินทางไปในทางของตน"

          การที่เราได้รับฟังเเละรับชมหรือได้สำผัสกับ ภาพ เสียง สี เเสง ผ่านอุปกรณ์สื่อสารนานาชนิด เช่น ทีวี  ภาพถ่าย  คอมพิวเตอร์  โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องมือต่างๆที่ทำให้เราสามารถรับรู้ได้ผ่านทางของ ประสาทสำผัสที่เรียกว่า "การมองทางสายตา" การได้มองเห็นภาพของความเป็นไปเเละความเปลี่ยนเเปลงต่างๆที่เกิดขึ้นในสารนั้นๆที่ได้รับรู้  การสื่อสารด้วยภาพที่เป็นการรับรู้เเละซึมซับผ่านสายตา ซึ่งการที่เราได้มองเห็น "สื่อ" อย่างใดอย่างหนึ่งสักอย่างจะทำให้เรารู้ว่าสื่อนั้นๆต้องการให้เราได้รับรู้อะไร  รับรู้อย่างไร ... เชื่อว่าทุกคนเคยได้รับชมภาพยนต์ต่างๆหรือสารคดีชีวิตต่างๆ "เราเคยถามเราเองไหมว่า เมื่อเราได้รับชมเเละได้มองสิ่งนั้นเเล้วเราได้รับรู้อะไร" ซึ่งจากคำถามนี้จะทำให้เรารู้จักจุดยืนในการชม "สื่อ" ต่างๆในการดำเนินชีวิต  สิ่งที่เขาได้สื่อสารมาด้วยความละเอียดอ่อนทำให้เราได้รับรู้อะไร ซึ่งอาจคิดในใจเล่นๆ ซึ่งเราทุกคนสามารถทำได้  "เราได้ชมหนังรักๆซึ้งๆเราได้ชมเเล้วเราจะรู้สึกอยากร้องไห้เเละเขินอายในขณะที่ได้ชม" ซึ่งถ้าเรียกอีกอย่างหนึ่งในภาษาวัยรุ่นจะเรียกว่า "อิน" กับหนังเเนวรักๆซึ้งๆที่ตนเองได้รับชม  "เราได้ชมสารคดีชีวิตของกลุ่มคนที่เขาไม่มีโอกาสที่จะได้รับการศึกษา" เรารู้สึก "อิน" รู้สึกสงสารในสิ่งที่ได้รับชม  "เราได้ชมหนังสั้นเเนวสะท้อนความเป็นอดีตของเราที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพยากรณ์ธรรมชาติที่หลากหลาย" เรารู้สึก "อิน" เเล้วอยากให้ทรัพยากรนั้นกลับมาอีกครั้งให้เราได้สำผัสอย่างเป็นธรรมชาติ   ทั้งนี้เนื่องเพราะเรามีความรู้สึกที่คล้อยตาม "สื่อ" เหล่านั้นไป หรือ รู้สึก "อิน" กับสื่อเหล่านั้นไป ทั้งนี้เพราะเรามองเห็นผ่านทางสายตา  "เเล้วเมื่อเราตั้งคำถามว่าเราได้รับรู้อะไรไปเเล้วเราได้ตั้งคำถามเล็กๆในความคิดของเราเองไหมว่าเราจะนำสิ่งที่เราได้รับรู้นั้นไปปรับใช้อย่างไรในการดำเนินชีวิต"  ถ้าเราได้รับชมหนังหรือสารคดีชีวิตเรื่องใดใดก็ตามถ้าเราลองตั้งคำถามให้กับตนเองอย่างง่ายๆเพียงสองคำ คือ "ได้รับรู้อะไรเเละจะนำไปใช้อย่างไร" จะเราให้เรารู้จักที่ยืนเเละมีจุดยืนในการดำเนินชีวิต  การที่เราได้รับชมหนังที่สะท้อนภาพของการดำเนินชีวิตสามารถเป็นเเรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตได้  โดยที่ใครที่ไม่เคยได้ชม อาจลองชมสักเรื่องสองเรื่องเเล้วนำข้อคิดที่ได้จากการชมนั้นมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต  หรือ อาจลองหลับตาคิดสักครู่หลังจากที่ได้ชมเเล้วเมื่อได้หลับตาลงเเล้วให้ย้อนมองภาพความประทับใจที่เราสามารถนำมาปรับใช้กับเราได้โดยที่เราจะต้องคำนึงถึงบริบทของหนังสั้นนั้นเเละบริบทของความเป็นจริงในตัวตนของเราเองเป็นประการสำคัญ  คนเราหลายคนชื่นชอบหนังชื่นชอบการมองเห็นด้วยภาพนี้ไม่เหมือนกัน บางคน ชอบดูภาพนิ่งซึ่งทำให้สามารถตีความหมายได้อย่างทัศนะของตนซึ่งถ้าภาพนิ่งนี้เป็นภาพของความทรงจำหรือความประทับใจในเมื่อครั้งอดีต  เราจะรู้สึกมองเห็นภาพนั้นได้อย่างชัดเจนเพราะมันคือภาพเเห่งความทรงจำจนหลายๆครั้งทำให้เรามีเเรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆอย่างมีพลังใจในการดำเนินชีวิต หรือมีภาพที่คล้ายคลึงกับความทรงจำของเราเมื่อครั้งอดีตจะสามารถทำให้เรานึกขึ้นได้เเละมองเห็นภาพได้ซึ่งเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนให้เรามีพลังใจในการทำสิ่งต่างๆ เเต่จะมีอีกหลายๆภาพที่เราไม่อยากเห็น เเนะนำให้เราลบภาพนั้นเสียออกไปจากความทรงจำเพื่อทั้งนี้เราจะได้รู้สึกเจ็บปวดกับภาพนั้นน้อยที่สุดเเต่ถึงอย่างไรภาพนั้นก็สามารถตราตรึงอยู่ในใจเราได้ตลอดเวลาอยู่ดี  การลบภาพออกจากความทรงจำนั้นจึงถือว่าไม่มีผลเพราะภาพนั้นยังตรึงอยู่ในความทรงจำเราอยู่ตลอดเวลาถ้าเรามองว่า "ภาพนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา" จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาเลยทีเดียว  โดยภาพที่ดีให้เก็บไว้เพื่อเป็นภาพเเห่งเเรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต ส่วนภาพที่เรารู้สึกไม่ดีให้มองว่าภาพนั้น คือ ภาพลวงตา เเล้วสิ่งนั้นเป็นบทเรียนชีวิตของเรา  ซึ่งไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวทุกภาพเราสามารถจดจำได้  ซึ่งความทรงจำนี้จะอยู่ในความคิดของเราไปตลอดเวลาโดยเฉพาะภาพในชีวิตที่ผ่านการเก็บภาพต่างๆนานาไว้ในความรู้สึกนึกคิด "ยิ่งเราอยากลืมถาพที่เลวร้ายนั้นมากเท่าไหร่เราจะยิ่งสามารถจดจำภาพนั้นมากเท่านั้น" เพราะทั้งนี้สิ่งที่เราได้หวนคิดเป็นการย้ำเตือนภาพเดิมในความรู้สึกนึกคิด โจทย์ คือ เราไม่สามารถลืมภาพอันเลวร้ายนั้นได้ให้เราเปลี่ยนเเนวคิดจากการลืมมาเป็นบทเรียนชีวิตของตนเองโดย คำถามให้ตนเองข้างต้นที่ว่าเราได้เรียนรู้อะไรเเล้วจะไปปรับใช้อย่างไรนั้น " ถ้าเรานำมาเป็นบทเรียนชีวิตคำถามนี้จะถามเราโดยทันทีทันใด...เพราะทั้งนี้เนื่องจากเรา "อิน" กับภาพชีวิตของเราเองซึ่งการที่คนเราจะรู้สึกคล้อยตามอย่างไรสักอย่างสิ่งนั้นจะต้องสะท้อนภาพของชีวิต (ทัศนะของผู้เขียน) ลองถามตนเองอยู่เสมอว่าภาพนั้นเป็นอย่างไร เเล้วจะทำให้เรามีจิตใจที่เเกร่งพอในการรับภาพที่ไม่อยากให้มาเยี่ยมเยือน...

          ภาพที่เราได้ชมเเละได้มองต่างๆในความรู้สึกนึกคิดล้วนมีทั้มามาจากการเก็บภาพนี้อยู่ในความทรงจำเเล้วภาพนี้จะอยู่ในความทรงจำเราตลอดเวลาที่เราได้หวนถึง...ภาพดีดี ให้เราเก็บไว้เป็นเเรงบันดาลใจส่วนภาพที่เลวร้ายให้นำมาเป็นบทเรียนชีวิตต่อไปในเส้นทางของเราทุกคน...

 

หมายเลขบันทึก: 552267เขียนเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2013 20:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2013 20:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เป็นได้ทั้ง 2 ครับ ตามทัศนะของเเต่ละคน...เเต่ถ้าเป็นผม "ภาพ" ที่จะรู้สึกคล้อยตามมากที่สุดคงจะเป็นภาพขาวดำครับ

ดวงตาเป็นสื่อ แต่สิ่งที่อยู่ข้างในจะสะท้อนออกมา

หากสิ่งนั้นคือสิ่งมีชีวิต และเปิดช่องรับสัญญาณเดียวกับเรา

แม้เพียงเหลี่ยวมองข้างๆก็ให้รู้ใจเขาและเรา

พลังแห่งดวงตา จึงต้องประมานกับพลังข้างในตัวเรา

และพลังข้างในตัวเราจะเข้มแข็งเติบโตได้

ก็ด้วยอาหารใจคือธรร(มะ)ชาติ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท