เมื่อปีที่ผ่านมา รับคนไข้สัญจรไว้ 1 ราย วัยรุ่นชายอายุ 24 ปี เป็นชาว กรุงเทพฯ ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นอะไร ผอมแห้ง เรงน้อย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ...คนใกล้ตัวพาไปตรวจรักษาที่ รพ.แห่งหนึ่งใน กทม. พบวัณโรคปอด ปอดอักเสบเฉียบพลัน และสุดท้ายเจอเลือดบวก รักษาไม่ถึงปี ยากินบ้างไม่กินบ้างเพราะไม่มีแรงที่จะยกตัวขึ้นมายกน้ำหยิบยาให้กับตัวเอง....วันหนึ่งมีคนเมตตาพามารักษาตัวและมาฟักฟื้นที่ รพ.ภูธรอย่างเรา สาเหตุสำคัญที่มาอยู่ที่นี่คือ พ่อแม่รับไม่ได้เนื่องจากลูกเป็นเอดส์ (คำบอกเล่าจากเด็กคนนั้น) ไม่กี่วันก็ฟื้นขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ใช้เวลาอยู่ที่ปะทิว เทียวไปเทียวมา กทม.บ้าง 5-6 เดือน ทุกอย่างดีขึ้น จนเด็กคนนั้นน้ำหนักขึ้นอ้วนท้วนสมบูรณ์ผิดกับคนละคนกะเมื่อปีก่อนและเขาก็ขอไปทำงานและไปรักษาต่อที่ กทม...จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
...มาวันนี้ได้รับโทรศัพท์จากทีมงานว่า หมอช่วยไปดูคนไข้หน่อยว่า เขาใกล้ตายแล้ว จะแจ้งตายอย่างไร และจะจัดการงานศพอย่างไร เพราะไม่มีญาติ เจ้าของบ้านเค้าไม่เอาแล้ว...(เป็นประโยคที่สะท้อนใจนัก)...ทีมงานไปดู โอ้! พระเจ้า...เด็กผู้ชายคนนั้น
ภาพที่เห็น ดำ ผอมแห้ง ผมยาว หนวดเครารุงรัง ลิ้นเป็นฝ้า ท้องเสีย...เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น เธอดูแย่กว่าครั้งแรกที่เราได้เจอกันเมื่อปีก่อน...(งานเข้าแล้วเรา) จะจัดการอย่างไรดีกับเด็กคนนี้ ระยะเวลาไม่กี่เดือนเธอเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ เธอสารภาพแล้วว่า..ยาต้านไวรัสกินบ้างไม่กินบ้าง ไปเที่ยวกลับมาดึกก็ไม่ได้กิน อยากกินก็กิน ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้..และอีกอย่างก็ไม่อยากกินแล้ว..เพราะไม่ไหว ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ไม่มีอะไรที่ต้องห่วง เพราะไม่มีใครแล้ว อยู่ก็เป็นภาระของคนอื่น...
...เด็กชายคนนั้นพูดเหมือนกับทุกคนที่เราเจอมา พูดเหมือนกับผู้ติดเชื้อทุกรายที่อยู่ในวิกฤตของชีวิต จากภาพที่เห็น สำคัญสุดคือการเยียวยาด้านจิตใจ วาระสุดท้ายของชีวิตเด็กคนนี้ เราทำอะไรได้มากกว่ากำลังใจให้ผ่านวิกฤตวันนี้ไปได้...
โปรดติดตามตอนต่อไป
สิ่งที่ทำนั้นประเสริฐแล้ว สิ่งที่เกิดนั้น มันเป็นเช่นนั้นเอง