ดวงประทีปเเห่งเเรงบันดาลใจ ๖


"เมื่อเรารู้สึกว่าสิ่งนั้นในชีวิตเเละการทำงานเป็นสิ่งที่หนักเกินไปก็ให้เราหันมาอยู่ในมุมของดนตรีเเล้วเราจะเห็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในทัศนะของเราทุกคน"

บทเพลงบรรเลงใจ

          ภาษาอันวิจิตรงดงามที่ถูกจรรโลงมาด้วยความเป็นตัวตน มีอารมณ์  ความรู้สึกนึกคิด  ความหลังเมื่อครั้งอดีต   ความฝันที่กำลังจะมาถึง  เเละจินตนาการ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลง  เป็นดนตรีที่เป็นภาษาสากลของโลกถ้าเราลองย้อนมองดูอย่างนุน่มลึกเราจะมองเห็นว่า ดนตรีเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งโดยที่ทุกเชื้อชาติทุกศาสนามีดนตรีในความคิด  ความฝัน  เเละการดำเนินชีวิต  เราทุกคนต่างมีภาษาที่ต่างกันออกไปเเต่ดนตรีเป็นภาษาสากลที่ไม่ว่าใครที่ได้รับฟัง  ได้มองเห็น สามารถเข้าในในอารมณ์เเละความรู้สึกนึกคิดของผู้ถ่ายทอดได้ เเล้วในหลายๆครั้งเราจะคล้อยมาตามเสียงดนตรีนั้นไปในทุกขณะของการรับรู้  เมื่อเป็นดนตรีเเนวเศร้า เมื่อเราได้ฟังเราสามารถรับรู้ได้ว่านั่นคือความเศร้า   เมื่อเป็นดนตรีเเนวตื่นเต้นเราสามารถรับรู้ได้ว่านั่นคือความตื่นเต้น  เเละเมื่อเป็นดนตรีเเนวกระตุ้นความกลัวของคนเราเราสามารถรับรู้ได้ว่านั่นคือความกลัว เป็นต้น  เมื่อเราสามารถรับรู้ได้   เราสามารถถ่ายทอดให้คนอื่นสามารถรับรู้ได้  ถึงมนุษย์เราจะมีต่างเชื้อชาติต่างภาษาเเต่เราสามารถรับรู้ภาษาดนตรีซึ่งเป็นภาษาสากลได้อย่างน่าอัศจรรย์  ถ้าเราลองใคร่ครวญดูเเล้วอย่างเเท้จริงเเล้วดนตรีนี้เกิดมาจากธรรมชาติทั้งหมดโดยที่มนุษย์ในยุคก่อนมีการสรรหาความสะดวกสะบายได้การดำรงชีวิตอยู่ตลอดเวลาซึ่งปัจจุบันเราก็เป็นเหมือนมื่อก่อน เมื่อพวกเขาคิดว่าชีวิตเราต้องมีความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจก็เริ่มมีการเคาะจังหวะเกิดขึ้นเเล้วขยายความคิดออกไปเป็นเครื่องดนตรีเเละดนตรีต่างๆจนถึงปัจจุบัน   ฉะนั้นดนตรีจึงมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของเราทุกคน ทำให้หลายๆคนที่ชื่นชอบดนตรีเกิดคำกล่าวที่ว่า "มีดนตรีในหัวใจ" .... ถ้ามีใครสักคนเข้ามาถามเราว่าเราฟังเพลงฟังดนตรีเพื่ออะไร ? เราคงจะมีคำตอบมากมายนานานับประการที่คอยตอบคำถามของเขา  อาทิ  ดนตรีคือสิ่งที่ทำให้ฉันคลายทุกข์   ดนตรีเป็นความสุขของฉัน  ดนตรีคือที่ระบายของฉัน  ดนตรีคือเพื่อนของฉัน  ดนตรีคือภาษาของฉัน เป็นต้น ซึ่งถ้าเราลองถามคนรอบข้างในประเด็นนี้เขาอาจมีคำตอบนานานับประการทั้งนี้เนื่องจากเราซึมซับดนตรีมาตั้งเเต่สมัยเด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่  ถ้าเราลองถามตนเองว่า "เราฟังดนตรีเพื่ออะไร" เราจะได้คำตอบมากมาย โดยเเนะนำให้เขียนคำตอบนั้นลงในเเผ่นกระดาษเเล้วนั่งคิดย้อนมองดูว่าคำตอบที่มากมายที่เราได้คิดเห็นว่าเป็นตัวตนของเรานั้น คืออะไร  เป็นอย่างไร  เเล้วเราจะเห็นความมหัศจรรย์บางอย่างที่เกิดขึ้นในความคิดของเราเองเเต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมองเห็นเเต่เราต้องลองใคร่ครวญดูอย่างช้าๆเเล้วจัดลำดับให้เหมาะสม "ความมหัศจรรย์นั้นจะเกิดในในความคิดของเราเองทุกคน"  หลายคนฟังเพลงเพราะ อยากหลบมุมเข้าในอยู่ในมุมความสุขของตนเองโดยที่เขาอาจมองว่าเมื่อเขาได้อยู่ในมุมส่วนตัวของเขาโดยการได้ฟังดนตรีหรือฟังเพลงเเล้วจะสามารถทำให้เขามีความสุขได้เมื่อออกมาจากมุมของตนเองเข้าสู่สังคมของความเป็นจริงเเล้วเขาจะสามารถเข้าสู่สังคมได้อย่างมีความสุขด้วยทัศนะที่เขามองว่าบทเพลงคือมุมความสุขที่ทำให้เขามีความสุขในการดำเนินชีวิตได้  หลายคนฟังเพลงเพราะให้เพลงเป็นเครื่องปลอบใจให้กับตนเองในการกระทำที่อาจมองว่าไม่ดีเท่าที่ควรโดยดนตรีจะเป็นเพื่อนที่คอยสอนเราโดยเฉพาะเพลงที่มีคำร้องที่คอยสอนเราให้รับรู้ถึงสิ่งต่างๆโดยคำปลอบใจจากบทเพลงจนหลายครั้งอาจทำให้เราสามารถมีพลังใจจากคำปลอบใจจากบทเพลงที่ได้รับฟัง  หลายคนฟังเพลงเพราะให้เพลงเป็นเเรงบันดาลใจให้ตนเองในการทำสิ่งต่างๆของการดำเนินชีวิตซึ่งเพลงที่ฟังนี้จะเป็นเพลงที่คอยให้กำลังใจคอยสร้างกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆในการดำเนินชีวิตโดยที่เราทุกคนสามารถฟังได้เมื่อขณะที่เรารู้สึกว่าเราเหน็ดเหนื่อยจากการดำเนินชีวิตเเละการทำงานโดยการฟังครั้งเเรกๆอาจให้ให้ความรู้สึกของเราที่เหน็ดเหนื่อยจากชีวิตเเละการทำงาน  ให้ความรู้สึกเหล่านี้ให้คล้อยไปตามบทเพลงสักรอบสองรอบเเล้วรอบถัดมาที่เราคล้อยตามเพลงไปเเล้วนั้นให้เราคิดย้อนมองถึงสิ่งที่เราได้ทำไปอย่างใคร่ครวญว่าเราทำดีไหม เเล้วเราควรทำอย่างไรต่อไป  ให้บทเพลงได้สอนเราในครั้งเเรกๆเเล้วลองให้เราได้ย้อนมองดูตนเองเเละสอนตนเองในครั้งหลังๆถัดมา

            เเล้วถ้ามีใครสักคนถามเราอีกว่าเราฟังในส่วนไหนของเพลงโดยที่มีคำร้อง   ทำนอง  จังหวะ  เสียงร้อง  ความหมาย  เเละศิลปิน ซึ่งคำตอบนี้จะมีหลายคำตอบเเตกต่างกันไปตามทัศนะของเเต่ละคนหลายคนที่ฟังเพลงที่คำร้องซึ่งมีความหมายที่ตรงใจที่ทำให้มีเเรงบันดาลใจในการสู้ชีวิตต่อไป  หลายคนฟังเพลงที่ทำนองเพราะชอบเสียงดนตรีที่ทำให้รู้สึกมีความสุขในมุมส่วนตัวของตนเอง  หลายคนฟังที่เสียงร้องของศิลปินที่กินใจทำให้ตนเองมีความสุขใจมีความสบายใจทุกครั้งที่ได้รับฟัง ซึ่งไม่ว่าจะเป็น คำร้อง   ทำนอง  จังหวะ  เสียงร้อง  ความหมาย  เเละศิลปิน ก็เป็นองค์ประกอบของเพลงเพียงทั้งสิ้น  เราทุกคนฟังเพลงไม่เหมือนกันเพราะทัศนะ เเละช่วงอารมณ์ของทุกคนไม่เหมือนกัน ... การร้องเพลงอาจเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เเทนการสื่อสารระหว่างคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเราได้ร้องเพลงออกไปในอีกมุมหนึ่งจะเป็นการระบายความทุกข์ความกดดันเเละความไม่สบายใจออกเราออกไปได้ซึ่งถ้าเรารู้สึกไม่สบายใจหรือรู้สึกกดดันในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ถูกเก็บไว้นานเราทุกคนสามารถร้องเพลงออกมาเพื่อระบายใจของเราได้ในอีกทางหนึ่งโดยให้ร้องออกมาจากใจเรามากที่สุดเเล้วเมื่อร้องได้สักพักหนึ่งเราจะรู้สึกดีขึ้นเองจากการระบายใจด้วยการร้องเป็นบทเพลงออกมาจากใจของตนเอง...เมื่อเราได้ร้องเพลงออกไปนั้นในบางครั้งเราอาจรู้สึกเเย่ลงจากเดิมทั้งนี้อาจเพราะเรา "จมไปกับบทเพลง" มากเกินไปโดยเราไม่ได้คิดใคร่ครวญย้อนมองดูหลังจากการร้องเพลงเเล้วว่าเป็นอย่างไรจึงทำให้เราจมกับความรู้สึกจากการร้องเพลงระบายใจโดยไม่ได้ใคร่ครวญมองย้อนดูอีกครั้งว่าเป็นอย่างไร.. คนส่วนใหญ่มีเพลงประจำใจโดยเพลงประจำใจนี้เป็นความสุขในมุมเล็กๆเป็นกำลงัใจในมุมเล็กในการดำเนินชีวิต "เมื่อเรารู้สึกว่าสิ่งนั้นในชีวิตเเละการทำงานเป็นสิ่งที่หนักเกินไปก็ให้เราหันมาอยู่ในมุมของดนตรีเเล้วเราจะเห็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในทัศนะของเราทุกคน" อาจเเต่งเพลงขึ้นมาสักเพลงให้เพลงนี้เป็นตัวตนของเราให้มากที่สุดเเล้วให้ร้องเพลงนี้ออกไปให้เป็นตัวตนเรามากที่สุด  

"ลองให้เพลงเป็นกำลังใจเราสักครั้ง  

ลองให้เพลงปลอบใจเราบ้างสักหน  

ลองให้เพลงได้เเสดงความในใจตน  

ลองเเล้วเราจะไม่จนใจตนเอง" ... 

หมายเลขบันทึก: 552096เขียนเมื่อ 30 ตุลาคม 2013 20:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 ตุลาคม 2013 20:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท