สภาองค์กรชุมชนมีกฏหมายรับรองเป็นพระราชบัญญัติ ตาม พรบ. สภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีนัยยะสำคัญคือ-
๑. -สมาชิกต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ไม่เป็นผู้มีตำแหน่งในพรรคการเมือง
-ไม่ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐระดับการปกครองท้องที่เป็นสมาชิก
๒. -สภาองค์กรชุมชนมีได้แค่ระดับตำบล ระดับอื่นเป็นแค่ที่ประชุม เช่นระดับจังหวัดและระดับชาติ
๓. -มติของที่ประชุมทุกระดับมีอำนาจนำเสนอต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ราชการระดับจังหวัด และเสนอต่อรัฐบาล แต่ไม่มี สภาพบังคับให้หน่วยงานทั้งหลายต้องปฏิบัติ คือปฏิบัติก็ดีไม่ปฏิบัติก็ได้
ดูสภาพโครงสร้างแล้วเหมือนจะดูดี แต่จะผลักดันงานต่างๆกันอย่างไร หรือว่าถูก "วางยา" ให้เป็นบอนไซสัญญลักษณ์การเพิ่มอำนาจประชาชน
โดยที่สภาองค์กรชุมชนตำบลมีฐานะเป็นอิสระแก่กัน ใครสั่งใครไม่ได้ ใครยุบไม่ได้ แต่อาจจะยิ่งใหญ่ได้โดยวิธีการ-
๑. -เชื่อมร้อยกันในแนวราบมีเจตนาร่วมกัน
๒. -สร้างกระบวนการโดยยึดหลักฉันทามติไม่ใช่พวกมากลากไป
๓. -ประเด็นต่างๆที่ผลักดันต้องจัดการให้เป็นกระแสอยู่บนฐานความรู้ที่สื่อถึงความต้องการของพลังมวลชน
งานนี้ถ้าทำได้ถึงไม่มีสภาพบังคับตามกฏหมายมีหรือที่ภาครัฐจะไม่ฟังและตอบสนอง หรือว่าสภาองค์กรชุมชนยังต้องถอดระหัส "ลายแทง" ที่ต้องใช้สายตาแหลมคมดุจเหยี่ยวถลาลมสอดส่องให้เห็นจากระดับสูงและไกล เพราะถ้าเข้าไปใกล้ๆไก่ก็จะตื่นประมาณนั้น
อย่างภาพยนต์เรื่องขุมทองแมคเคนน่า "อีแร้งแก่" คือเพลงเบิกโรง ภูมิประเทศแสนแห้งแล้งแต่ผู้ตาถึงเห็นทอง
http://www.youtube.com/watch?v=h7mVLWcMm-U
สภาองค์กรชุมชนเทศบาลตำบลปากพะยูน ก็เฉกเช่นเดียวกัน คือมันเหมือนถูกวางยา
ประชุม วางแผน ชวนนักการเมืองมารับรู้ร่วม แต่พอเสนอแผนงานไปก็ไม่ หอนได้รับการตอบรับ ก็ต้องหลบมาทบทวนการทำงานใหม่
ตลอดเวลา สี่ปี ยังวนอยู่ในอ่าง
หากมีสภาองค์กรใหนที่ผลักดัน ความต้องการของชุมชน ภายใต้การคุยร่วมกันของภาคประชาชน ผ่านสภาองค์กรชุมชน น่าจะนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อนำมาปรับใช้ หรืออาจได้แนวคิดการจัดการกันต่อไป
เรียน ท่านวอญ้า
ต้องชื่นชมสภาองค์กรชุมชนปากพะยูนที่สรุปบทเรียนได้คำตอบที่แสนคลาสสิคคือ "พายเรือในอ่าง" และได้กลับมาทบทวนใหม่ "นอกอ่าง" ขอเป็นกำลังใจเพราะไม่มีอะไรใต้ดวงอาทิตย์ที่ห้ามไม่ให้ชุมชนทำในบริบทของวัฒนธรรมตามภูมินิเวศน์