ลูกอารมณ์อ่อนไหว..ทำไงดี


เด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย ไม่ใช่เด็กอ่อนแอแต่อย่างใด แต่เป็นคนละเอียดอ่อน พ่อแม่ต้องเลี้ยงมีรายละเอียดมากในการดูแล โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกของลูกที่ถูกกระทบ แล้วกระเทือนง่าย ถ้าดูแลไม่ดีจะพาลเร้าให้ลูกระบายออกด้วยการไปกระแทกใส่คนอื่น จะยิ่งเป็นปัญหาให้แก้กันไม่จบสิ้น

คุณแม่ที่น่ารักท่านหนึ่งถามว่าลูกสาววัย 5 ขวบเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวมาก ๆ เวลาอ่านนิทานเรื่องเศร้า ๆ ก็จะร้องไห้ ตะก่อนแค่ตาแดงๆ แต่ตอนนี้ปล่อยโฮเลย

บ้านเรา..
แม่มีลูกที่อ่อนไหวง่าย..อ่อนไหวมาก ๆ คนหนึ่ง คือ "ตุ๊บปอง"
เป็นลูกที่เวลาแม่เล่านิทาน อ่านหนังสือ ดูลิเก ฟังละครวิทยุ หรือแม้แต่ฟังเพลงเศร้า ๆ บางเพลงที่มีบทโศกเป็นไม่ได้..สะอึกสะอื้นน้ำตาชื้นทันที ซึ่งบางครั้งจะมีน้องน้อยมาร่วมวง สองคนพี่น้องเคยกอดคอร้องไห้เมื่อตอนดูรายการ Junior Singing Contest ที่ถ่ายทอดสดทางทีวี แล้วพี่น้องก็กอดคอกันร้องไห้เมื่อฟังน้องผู้ชายคนหนึ่งร้องเพลง "ร่องเรือหารัก" ของคุณยอดรัก สลักใจ..ด้วยเสียงที่รันทด

นิทานที่เรียกน้ำตาของตุ๊บปองได้ทุกครั้งที่แม่เล่า หรือร้อง คือ ดาวลูกไก่ เรื่องราวที่ปูความเศร้าของแม่ไก่มาตลอดเรื่อง

สักครู่หนึ่งตาจึงเอ่ย นี่แน่ะยายเอ๋ยตอนแจ้ง ต้องเชือดแม่ไก่แล้วแกง ฝ่ายยายไม่แย้งตาเฒ่า ฝ่ายแม่ไก่ได้ยิน น้ำตารินหลั่งไหล ครั้นจะรีบหนีไปก็คงต้องตายเปล่า ๆ .. น้ำตาไหลเรียกลูก เข้ามาซุกซอกอก น้ำตาแม่ไก่ไหลตก ในหัวอกปวดร้าว อ้าปากออกบอกลูก เช้าต้องถูกตาเชือด คอยดูนะเลือดแม่ไหล พรุ่งนี้ต้องตายจากเจ้า มาเถอะลูกมาซุกอก ให้แม่ได้กกก่อนตาย แม่ขอกกเป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้ต้องตายตอนเช้า อย่าทะเลาะเบาะแว้ง อย่าขัดแย้งเหยียดหยัน จงรู้จักรักกัน อย่าหุนหัน สะเพร่า เจ้าตัวใหญ่สายสวาท อย่าเกรี้ยวกราดน้อง ๆ จงปกครองดูแล ให้เหมือนดั่งแม่เลี้ยงเจ้า น่าสงสารแม่ไก่ น้ำตาไหลสอนลูก เช้าก็ถูกตาเชือด ต้องหลั่งเลือดนองเล้า

เสียงกระซิก กระซิกเริ่มดังขึ้น จริง ๆ แล้วน้ำตาปริ่มมาตั้งแต่ “ต้องเชือดแม่ไก่แล้วแกง ฝ่ายยายไม่แย้งตาเฒ่า “ โน่นแล้ว

จนขมวดปมตอนจบว่า
"ฝ่ายลูกไก่ทั้งเจ็ดเหมือนถูกเด็ดดวงใจ พากันโดดเข้ากองไฟตายตามแม่ไก่ดังกล่าว ด้วยอานิสงส์อันประเสริฐ ลูกไก่ไปเกิดเป็นดาว” ( เนื้อหาบางส่วนจากเนื้อเพลงดาวลูกไก่ ของพร ภิรมย์ )

ทุกครั้ง..แม่ไก่และลูกไก่ทั้งเจ็ดเรียกอารมณ์รันทดสงสารจากตุ๊บปองมาตลอด..จนถึงวันนี้ ฟังกี่ทีก็มีน้ำตา 
พอถึงตอนใดที่ดึงอารมณ์ร่วมได้มาก ๆ
ลูกจะกอดแม่แน่น แม่ก็จะลูบหัว ลูบหลัง หรือดึงมือลูกเข้าไปหอม และหลาย ๆ ครั้งที่แม่เล่าด้วยเสียงเครือปนสะอื้นแล้วกอดลูกแน่นเหมือนกัน

จึงอยากจะบอกว่า..
เด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย ไม่ใช่เด็กอ่อนแอแต่อย่างใด แต่เป็นคนละเอียดอ่อน พ่อแม่ต้องเลี้ยงมีรายละเอียดมากในการดูแล โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกของลูกที่ถูกกระทบ แล้วกระเทือนง่าย ถ้าดูแลไม่ดีจะพาลเร้าให้ลูกระบายออกด้วยการไปกระแทกใส่คนอื่น จะยิ่งเป็นปัญหาให้แก้กันไม่จบสิ้น

เบื้องต้น..
พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจก่อนนะว่าเรื่องอารมณ์อ่อนไหวของลูกเป็นเรื่องปกติธรรมดาของบางคน เพราะเป็นนิสัยเฉพาะตัว แม่ต้องมองสิ่งที่ลูกเป็นอย่างมั่นคง ต้องมองว่าเป็นเพียงอารมณ์หนึ่งของลูก..
ไม่เป็นไรหรอก ลูกอาจจะมีอารมณ์อ่อนไหวมากกว่าเด็กคนอื่น

เมื่อลูกฟังนิทานที่มีเรื่องเศร้า อย่างการพลัดพรากกับพ่อแม่ ย่อมทำให้ลูกเศร้าไปกับตัวละคร พร้อม ๆ กับมีอารมณ์ร่วม คิดไปว่าถ้าต้องพลัดพรากจากแม่จะเป็นอย่างไร..จินตนาการก็จะพาลูกให้คิดฟุ้งไปได้

ว่าแต่แม่นั้นอย่าหลงอารมณ์เศร้าไปกับลูก อย่าเพ่งที่ความเศร้าของลูก ทำทุกอย่าตามปกติ แล้วอธิบายลูกทุกครั้งว่า "นี่คือนิทาน..นี่คือเรื่องราวในหนังสือ ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ กับลูก"

ตอนนี้คงต้องเลี่ยงที่จะเล่านิทาน หรืออ่านหนังสือที่มีเรื่องราวเศร้า ๆ การพลัดพรากจากคนที่รัก หรือการสูญเสียของรัก หาเรื่องราวสนุก ๆ มาอ่านให้ลูกฟัง หรืออ่านด้วยกันไปก่อน..ผ่อนอารมณ์อ่อนไหว ด้วยการไม่ย้ำ ซ้ำเศร้า

ที่สำคัญ คือ
อย่าดุลูกว่าขี้แย ขี้น้อยใจ อ่อนแอ หรือไม่เข้มแข็งเด็ดขาด เพราะคนแต่ละคนนั้นมีนิสัยที่ไม่เหมือนกัน

ต้องรู้นะว่า..
คนละเอียดอ่อนแบบนี้นี่แหล่ะ ที่ช่วยทำให้โลกสดสวยด้วยสุนทรียภาพที่ละเอียดอ่อนได้

สุดท้าย..
ในแต่ละวัน แม่ต้องเปิดโอกาสให้ลูกได้สัมผัสธรรมชาติและสิ่งที่สวยงามอย่างศิลปะ ลากเส้นเล่นสี ร้องรำทำเพลง และเคลื่อนไหวร่างกายอย่างอิสระบ้าง จะช่วยให้ลูกมีอารมณ์ดีขึ้น 

การทำกิจกรรมอย่างนี้กับลูกบ่อย ๆ จะช่วยให้ลูกมีอารมณ์และความรู้สึกซึ่งมั่นคงมากขึ้น มีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น และเผชิญอุปสรรคได้ดียิ่งขึ้น

เพราะแม่อารมณ์ดี มีความเข้าใจในอารมณ์ที่อ่อนไหวของลูก
ลูกจึงอารมณ์ดี และมีสติปัญญาพอที่จะรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง จึงใช้ชีวิตอย่างคนที่ไม่หลงในอารมณ์

รักแม่เป็นที่สุด

ป.ล.
คุณแม่ที่รักจ๊ะ
เมื่อรู้ว่าบันทึกของแม่ที่เขียนถึงลูกมีความสำคัญต่อจิตใจลูกมากขนาดนี้..ก็ต่อสุขให้ลูกเถอะนะจ๊ะ หาเวลาในแต่ละวันเขียนต่อ เพราะลูกรอฟัง โปรดอย่าใช้เรื่องงานเป็นข้ออ้างนะจ๊ะ

ดูอย่างพี่ปองซี..ในแต่ละวันมีงานล้นมือ แต่ทุกวันต้องจัดสรรเวลาในการตอบคำถามแม่ ๆ พอ่ ๆ เพราะรู้ว่ารออ่าน..แล้วน่าจะเกิดประโยชน์น่ะจ้ะ

สัญญานะว่าจะ "ต่อรัก" ด้วยการเขียนถึงลูกทุกวัน

หมายเลขบันทึก: 547839เขียนเมื่อ 10 กันยายน 2013 10:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 กันยายน 2013 12:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ต้องขอบคุณพี่ตุ๊บปอง (คุณเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีบ) ที่อนุญาติให้แม่ดาวได้นำเรื่องราวดี ๆ มีประโยชน์แบบนี้มาแบ่งปันกัน หากใครสนใจติดตามอ่านเรื่องราวดี ๆ สามารถไปติดตามอ่านได้ ในfacebook ชื่อ ตุ๊บปอง ตุ๊บปอง เข้าไปกดถูกใจ แล้วตามอ่านกันได้เลยจ้า ส่วนในหน้านี้ แม่ดาวเองจะเลือกบางเรื่อง ที่ตัวเองประทับใจสุด ๆ โดนใจสุด ๆ มาแบ่งปันไว้ให้ตามอ่านกันจ้า 

ส่ิงที่แม่ดาวได้จากเรื่องนี้เนอะ  จะจดและจำไว้ เพื่อนำไปใช้ต่อ คือ


1. ยอมรับในความเป็นตัวตนของเขา นิสัยที่อ่อนไหวของเขา ว่าเป็น "ปกติ" ธรรมดาของเด็กบางคน ก็เด็กแต่ละคนเกิดมามีนิสัยแตกต่างกันจริงไหม 


2. พ่อแม่อย่าหลงอารมณ์อ่อนไหวไปกับลูก ไม่ใช่ให้ปฏิเสธ แต่รับฟัง เข้า
ใจ และอาจพูดชี้ชวนให้เข้าใจตามเหตุและผล หรืออาจค่อย ๆ หาเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจไปก่อน


3. ***อย่าดุลูก ว่าลูก เช่น เด็กขี้แย อ่อนแอไม่ได้เรื่อง ไม่เป็นลูกผู้ชาย พูดต่อว่าเรื่องความไม่แข็มแข็ง และอย่าเปรียบเทียบเขากับใครเด็ดขาด***


4. เปิดโอกาสให้ลูกได้สัมผัสธรรมชาติ ความสวยงาม ทำงานศิลปะ หรือร้องเพลง ทำกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายต่าง ๆ อันนี้พี่ปองบอกว่ามันช่วยได้จ้า

ขอบคุณมากค่ะ เห็นด้วยค่ะว่าจิตวิทยาการเลี้ยงดูมีผลมากในการดูแลเด็ก ซึ่งจะเป็นรากฐานให้เขาเป็นคนดี เชื่อมั่นในตนเอง และประสพความสำเร็จในอนาคต

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท