บทนำ/อรัมภบท :
ขอเริ่มเสียสักทีสำหรับค่าติด (รายการค้างเก่า) ที่ติดค้างน้อง ๆ
ไว้หลายคน ที่ต้องการเริ่มต้นการทำวิจัย แต่พอจะเริ่มทำทุกทีก็ท้อ
เพราะยาก ไม่เข้าใจ ไปถามใคร ๆ ทำไมถึงได้อธิบายยากจังเลย
(และเมื่อหน่วยงานบังคับให้มีการทำวิจัยตามเกณฑ์ประเมินหน่วยบริการ
และการทำผลงานทางวิชาการ ก็เลยมีงานวิจัยที่...ออกมา
จนเป็นที่เข้าใจผิด...ของสังคม เพราะคนตรวจที่ให้ผ่าน
ก็เป็นคนที่หน่วยงานให้การยอมรับทางวิชาการอยู่มาก) อีกเหตุผลหนึ่ง
คือ
ผมจะเขียนและถ่ายทอดจากความเข้าใจของตนเองที่เคยคิดว่าการทำวิจัยมันยาก
และเมื่อผ่านพ้นตรงนั้นมาแล้ว ผมน่าจะเข้าใจน้อง ๆ เพื่อน ๆ และพี่ ๆ
ว่าตกลงที่ยาก ๆ คือที่ตรงไหน
และที่เราอยากเข้าใจไปตามลำดับนั้นมันคืออะไร
(ในตอนที่ผมคิดว่าการวิจัยนั้นเป็นเรื่องยากแสนยาก)
ผมเอาประสบการณ์ส่วนหนึ่งที่ได้จากการเรียน และลงมือทำมาเขียน
ถ้าหากเอามาจากที่อื่น ๆ มาผสมผสานลงไป ก็อ้างอิงไว้
และหากผิดถูกประการใด ก็ขอน้อมรับเพื่อการปรับปรุงในทันทีนะครับ
(เขียนเหมือนรายงานนักศึกษาเลย) สิ่งนี้ยังต้องการคำชี้แนะอีกมาก
ขอเชิญเติมเต็มให้ด้วยครับ
ส่วนที่ผมไม่ค่อยอยากเขียนเพราะอะไรเหรอครับ!
เพราะกลัวว่าจะเอามะพร้าวมาขายสวน แต่เมื่อได้เขียนเรื่อง “ความกลัว” แล้ว ก็หายกลัวครับ ก็เลยขอเริ่มตอนที่ 1
เสียเลย (เริ่มตอนดึก ๆ ไม่ค่อยมีคนเห็น ฮา...) ด้วย
ขั้นตอนการทำวิจัย
ขั้นตอนการทำวิจัย :
ในการลงมือทำวิจัยจริง ๆ นั้น จะมีลำดับขั้นตอน
และรายละเอียดของสิ่งที่ผู้จะเป็นนักวิจัยควรรู้อยู่มากเหมือนกัน
ฉะนั้นคนที่จะเริ่มทำวิจัยใหม่ ๆ
ก็ควรจะได้รู้ลำดับขั้นตอนเหล่านี้ไว้ก่อนเป็นเบื้องต้น
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการวางแผนดำเนินการวิจัยให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ลำดับขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้ได้แก่ การเลือกเรื่อง เลือกปัญหา
และการกำหนดปัญหาการวิจัย, การทบทวนเอกสาร วรรณกรรม
และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง, การกำหนดกรอบแนวคิดหรือทฤษฎี,
การตั้งสมมติฐาน, การกำหนดตัวแปร และการวัด,
การกำหนดหรือวางรูปแบบการวิจัย,
การเตรียมและพัฒนาเครื่องมือในการวิจัย, การกำหนดกลุ่มประชากร
และการเลือกกลุ่มตัวอย่าง, การเก็บรวบรวมข้อมูล,
การเตรียมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์, การวิเคราะห์ข้อมูล,
การแปลผลจากการวิเคราะห์ข้อมูล, การเขียนรายงานวิจัย,
ความคลาดเคลื่อนหรือผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้จากการวิจัย,
จรรยาบรรณนักวิจัย และคุณสมบัติของนักวิจัยที่ดี
แต่ไม่ใช่ว่าเมื่อเห็นหัวข้อในบทนำก็วิ่งหนีหมดแล้วนะครับ จริง ๆ
แล้วทุกประเด็นจะมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน
เมื่อปรับส่วนใด ประเด็นอื่นจึงต้องปรับตามกันไปหมด
คนที่จะเริ่มต้นทำวิจัย
จึงเลิกทำตั้งแต่พอมีคำแนะนำให้ปรับนั่นแหละ
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การให้คำแนะนำ
ผู้ให้คำแนะนำควรจะได้ยึดถือในคำถามวิจัยของเขาเป็นหลัก
(ตอนเริ่มต้นทำ ส่วนใหญ่จะตั้งวัตถุประสงค์คล้าย ๆ กับโครงการฯ
โดยทั่วไป) ซึ่งหาผู้ให้คำแนะนำยึดถือวัตถุประสงค์
(ที่เขียนไม่ค่อยถูก) ก็จะทำให้คนที่มาขอคำปรึกษารู้สึกสับสน
ส่วนการหาคำถามวิจัยให้พบนั้น ส่วนใหญ่ (ผม)
จะต้องใช้วิธีชวนพูดคุยคุย แล้วตะล่อมกล่อมเกล่า ถามเอา
เพราะเมื่ออ่านในเอกสารที่เขาเขียนมามักจะไปคนละเรื่องเดียวกัน
กับคำถามวิจัยของเขาจริง ๆ
การเริ่มต้นที่ดี
และเข้าใจกันและกัน จึงสำคัญที่สุด ว่าเขาจะกลับมาเพื่อทำต่อ
หรือหายไปเลย (ไม่ใช่ไปแอบทำ ไปไม่ทำนั่นแหละ ฮา...)
เอาไว้ต่อคราวหน้าครับ วันนี้จะอรุณสวัสดิ์แล้ว
เรื่องทั้งหมดที่เขียนเป็นตอน
ๆ คือ [บทนำ
ขั้นตอนการทำวิจัย] [การเลือกเรื่อง
เลือกปัญหา และการกำหนดปัญหาการวิจัย] [การทบทวนเอกสาร วรรณกรรม
และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง] [การกำหนดกรอบแนวคิดหรือทฤษฎี]
[การตั้งสมมติฐาน] [การกำหนดตัวแปรและการวัด]
[การกำหนดหรือวางรูปแบบการวิจัย]
[การเตรียมและพัฒนาเครื่องมือในการวิจัย] [การกำหนดกลุ่มประชากร
และการเลือกกลุ่มตัวอย่าง] [การเก็บรวบรวมข้อมูล]
[การเตรียมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์] [การวิเคราะห์ข้อมูล]
[การแปลผลจากการวิเคราะห์ข้อมูล] [การเขียนรายงานวิจัย]
[ความคลาดเคลื่อนหรือผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้จากการวิจัย] [จรรยาบรรณนักวิจัย] [คุณสมบัติของนักวิจัยที่ดี]
หมายเหตุ: หากยังไม่ link
หมายถึงยังไม่ตีพิมพ์ไว้ครับ
ผมเอาประสบการณ์ส่วนหนึ่งที่ได้จากการเรียน และลงมือทำมาเขียน ถ้าหากเอามาจากที่อื่น ๆ มาผสมผสานลงไป ก็อ้างอิงไว้ และหากผิดถูกประการใด ก็ขอน้อมรับเพื่อการปรับปรุงในทันทีนะครับ (เขียนเหมือนรายงานนักศึกษาเลย) สิ่งนี้ยังต้องการคำชี้แนะอีกมาก ขอเชิญเติมเต็มให้ด้วยครับ
นึกขึ้นได้ (ก่อนจะขอไปนอนสักนิด) คนที่จะเริ่มทำวิจัยมักจะพูดถึงบ่อย ๆ (เขาเรียกว่าบ่น...) ว่า คนที่ให้คำปรึกษามักจะพูดไปพูดมา แล้วมาลงที่คำถามวิจัยของคนให้คำปรึกษาเสียเอง (ชอบแจกคำถามวิจัย แต่ตัวเองไม่ยอมทำฮา...) ซึ่งคนที่จะเริ่มทำ (ผู้มาขอคำปรึกษา) เขาไม่สนใจประเด็นนั้นด้วย การทำวิจัยครั้งนั้นที่ทำท่าว่าจะได้เริ่ม ก็มีอันต้องหยุดลงโดยดุษฎี
อีกเรื่อง (2 แล้วนะ) คนให้คำปรึกษาในตอนเริ่มต้น ต้องมีเทคนิคการใส่ empower ให้ลุกโชติช่วง (เพราะเขาติดมาแล้ว) แต่ไม่ใช่การทำให้มอดลง (อันนี้สังเกตได้จากในหน่วยงาน เป็นคน ๆ ไป คือ แรก ๆ จะมีผู้มาขอคำปรึกษามาก แต่พอหลัง ๆ ค่อย ๆ เงียบไป เพราะเขาจะบอกต่อ ๆ กันไป)
อีกเรื่อง (3 แล้ว) คนที่เขาสนใจจะทำวิจัยมีมาก (ในหน่วยงาน เช่น สสจ. ไม่ใช่ในระบบมหาวิทยาลัย) แต่ทำไมกลับมีงานวิจัยออกมาน้อยมาก ในแต่ละปี หากไม่นับที่ต้องทำผลงานทางวิชาการ (แจกคำถามวิจัยอีกแล้วครับท่าน...) นับจากอะไรเหรอ ก็จากการเข้ารับการอบรม จะมีผู้สนใจสมัครเยอะมาก และอบรมอย่างตั้งใจ แต่ไม่ทราบทำไมพอแบ่งทีมที่ปรึกษาให้ ส่วนใหญ่ก็จะหายไปเลย (ต่อม ๆๆๆ)
เป็นสะใภ้เมืองลุง กำลังเรียนโทรัฐประศาสนศาสตร์สาขาการปกครองท้องถิ่น ของม.ขอนแก่น หลักสูตรระบุให้ทำสาระนิพนธ์ขอความรู้จากคุณอนุชา ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร สาระนิพนธ์มีขั้นตอนอะไรบ้าง
เข้ามาเจอเว็บไซค์โดยบังเอิญเพราะsearthหาการวงแผนกลยุทธ์ เคยเรียนจบจากศุนย์อนามัยแม่และเด็ก ยะลา บ้านใกล้เรือนเคียง