บันทึก ๒๐ ตอนนี้ ได้จากการตีความหนังสือ The Heart of Higher Education : A Call to Renewalเขียนโดยผู้มีชื่อเสียง ๒ ท่านคือ Parker J. Palmer และ Arthur Zajonc ซึ่งเมื่อผมอ่านคร่าวๆ แล้ว ก็บอกตัวเองว่า นี่คือข้อเสนอสู่การเรียนรู้เพื่อเป็นคนเต็มคน ที่มี “พลังสาม” เข้มแข็ง คือ สมอง ใจ และวิญญาณ (head, heart, spirit) หรือพูดด้วยคำที่ฮิตในปัจจุบันคือ การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงจากภายในตน (Transformative Learning)
แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเน้นเสนอการเปลี่ยนแปลงในระดับอุดมศึกษา แต่ผมมีความเชื่อว่าต้องใช้กับการศึกษาทุกระดับ รวมทั้งการศึกษาตลอดชีวิต และตัวผมเองก็ต้องการนำมาใช้ฝึกปฏิบัติเองด้วย
ผมตั้งเป้าหมายในการอ่านและตีความหนังสือเล่มนี้ ออกบันทึกลง บล็อก ชุด เรียนรู้บูรณาการพลังสาม ว่า ต้องการเจาะหาแนวทางทำให้จิตตปัญญาศึกษา เข้าสู่การศึกษากระแสหลัก เพื่อให้คนไทยมีทักษะจิตตภาวนาบูรณาการอยู่ในทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ เป็นส่วนหนึ่งของทักษะชีวิต
การเรียนรู้บูรณาการ (สมอง ใจ และวิญญาณ) พัฒนา ๓ ด้านไปพร้อมๆ กัน และส่งเสริมเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Integrative Learning ในบางที่เรียกว่า Transformative Learning ซึ่งแปลเป็นไทยได้ ๒ แบบ ว่า (๑) การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐาน คือเปลี่ยนจากติดสัญชาตญาณสัตว์ เป็นมีจิตใจสูง ซึ่งมนุษย์ทุกคนบรรลุได้ บรรลุได้ในฐานะบุคคลทางโลก ไม่ต้องเข้าวัด หรือไม่ต้องบวช (๒) เป็นการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง หรืองอกงาม ภายในตน ตรงกันข้ามกับการเรียนรู้แบบรับถ่ายทอดความรู้มาจากภายนอก
ผมได้ตีความเขียนบันทึกจากบทหลักในหนังสือจบแล้ว แต่ยังมีส่วนเพิ่มเติม เพื่อบอกวิธีปฏิบัติอีกหลายตอน ที่ผมคิดว่ามีประโยชน์ต่ออาจารย์ที่ต้องการจัดการเรียนรู้แบบ Integrative/Transformative Learning อย่างจริงจัง
บันทึกตอนที่ ๑๗ นี้ ตีความจากส่วนหนึ่งของ Appendix B : Beyond the Classroom เรื่อง Bringing Conversation Into the Essence of Teaching : Making Meaningful Connections เขียนโดย Leslie Davenport, Clinical Faculty and Integrative Psychotherapist, Institute for Health & Healing เล่าเรื่องการเรียนรู้ที่เกิดจากความสัมพันธ์จากใจถึงใจ ที่เลยจากความรู้แข็งๆ สู่ “ความรู้สึก” ที่ละเอียดอ่อน
สถาบัน Institute for Health and Healing เป็นสถาบันการแพทย์ทางเลือก ที่ นศ. เรียน ๒ ทางบรรจบกัน คือด้านวิชาการ (academic) กับภาคสัมผัสจริง (experiential) นศ. เรียนเป็น care giver ที่มีมิติสัมพันธ์กับผู้รับบริการอย่างมีความหมายทางใจหรือความรู้สึก เลยไปจากมิติสัมพันธ์ธรรมดา ที่ได้รับจากผู้ให้บริการสุขภาพโดยทั่วไป
การเรียนรู้ที่สถาบันเป็นแบบสหวิชาการแท้ คือ นศ. พยาบาล, จิตวิทยา, นวด, เครื่องดนตรี ฮาร์พ, และศาสนาจารย์ เรียนด้วยกันเป็นทีมสหวิชาชีพ ในโรงพยาบาลเพื่อดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคหลากหลายอย่าง เพื่อให้บริการแบบองค์รวม (whole person) และเกิดการเรียนรู้อย่างเป็นองค์รวมด้วย นศ. เหล่านี้เป็น นศ. ระดับปริญญาโท
จะเห็นว่าองค์ประกอบของทีมบ่งชี้ว่า ทีมนี้ให้บริการดนตรี/ศิลปะ บำบัด และศาสนบำบัด หรือจิตวิญญาณบำบัด ด้วย
นศ. จะฝึกแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่ล้ำลึกจากประสบการณ์ตรงในการดูแลผู้ป่วยต่อตัวผู้ป่วย (และญาติ) และระหว่าง นศ. ด้วยกันเอง เขาใช้คำว่า therapeutic presence ซึ่งผมเข้าใจว่าหมายถึงการสัมผัสและหยั่งรู้สภาพปัจจุบันในขณะที่สัมผัสผู้ป่วย โดยมีการรับรู้สภาพจริงรอบด้าน
รูปแบบการเรียนรู้ เป็นแบบลงมือปฏิบัติ (action) ร่วมกับการสะท้อนความรู้สึก (reflection) นำการสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้สู่ความหมายที่แท้จริงของการเรียนรู้ ในระหว่างที่ นศ. สะท้อนความรู้สึก คำถามที่ นศ. ได้รับคือ
· ความต้องการของผู้ป่วย ที่เกิดจากความเจ็บปวดด้าน ร่างกาย / อารมณ์ / และจิตวิญญาณ
· ความเข้มแข็งของผู้ป่วย และการสนับสนุนที่ได้รับ
· ชั่วขณะที่มีความหมายที่สุดในการได้ดูแลผู้ป่วย
· สิ่งที่สื่อสารกันโดยไม่ใช้ถ้อยคำ
· สิ่งที่ผู้ป่วย และผู้ปฏิบัติรักษาหลีกเลี่ยง เพราะอะไร
· ผู้ปฏิบัติรักษาได้เรียนรู้อะไร จากชั่วขณะนั้น
ประสบการณ์นี้จะนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อน นศ. และกับคณาจารย์ โดยนำเสนอเป็น case presentation ผู้เข้าร่วมทุกคนจะฟังอย่างตั้งใจ และช่วยเพิ่มเติมข้อสะท้อนความรู้สึก (reflection) ของตน และอาจตั้งคำถาม ว่าทำไมผู้เล่าจึงตอบสนองผู้ป่วยเช่นนั้น สำหรับนำมาเป็นข้อเตรียมตัวเตรียมใจของตน และอาจมีบางคนช่วยให้แนวทางอื่น ที่คนไม่คาดคิด กระบวนการทั้งหมดนี้มีเป้าหมายยิ่งใหญ่เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการ therapeutic presence ไม่ใช่เพื่อทักษะการให้บริการทั่วๆ ไป
ผู้ให้บริการเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามกรอบปฏิบัติทางคลินิก (clinical Guidelines) แต่ที่เน้นความสำคัญคือความจำเพาะของการสัมผัสผู้ป่วยแต่ละครั้ง ที่แต่ละครั้งไม่เหมือนกัน แม้ผู้ป่วยจะเป็นโรคเดียวกัน
แม้ว่าหลักสูตรนี้จะเป็นหลักสูตรทางการแพทย์ ที่มีหลักวิชาแม่นยำแน่นอน แต่ในหลักสูตรนี้ไม่มีการสอนว่าการเยียวยาคืออะไร มีแต่คำถามให้ นศ. สะท้อนความรู้สึกออกมาจากประสบการณ์ตรงของตนแต่ละประสบการณ์
การเรียนรู้และเยียวยาแบบนี้ดำเนินต่อญาติผู้ป่วยด้วย และดำเนินเคียงคู่ไปกับการศึกษาและบริการสุขภาพกระแสหลัก ที่เป็น quantitative approach ในขณะที่การเยียวยาแบบนี้เป็น qualitative approach ช่วยเติมเต็มให้แก่ระบบบริการสุขภาพ
นศ. ที่มาฝึกที่ Institute for Health and Healing เป็น นศ. ปกติที่คณะวิชาของตนในมหาวิทยาลัย จะนำความรู้จากประสบการณ์ที่ได้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อน นศ. และอาจารย์ และใช้ในการสอบของตน
ผมเข้าใจว่า ผู้ป่วยที่มารับบริการแบบนี้มักเป็นผู้ป่วยเรื้อรัง หรือเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย ดังที่ผมเคยไปดูงานและบันทึกไว้ ที่นี่
วิจารณ์ พานิช
๑๐ ก.พ. ๕๖
ไม่มีความเห็น