574. ปัญญาสามฐาน


เมื่อเร็วๆนี้เปิดหนังเรื่อง Jiro Dreams of Sushi ให้นักศึกษาดู แล้วพากันวิคราะห์ครับ น่าทึ่งมากๆ เพราะนี่คือเทพเจ้าซูชิตัวจริง ทำซูชิมากว่า 75 ปี ร้านเป็นร้านเล็กๆ เพียง 10 ที่นั่ง แต่ต้องจองล่วงหน้ากว่า 1 เดือน รายได้น่าตื่นเต้นมากเพราะต้องจ่ายหัวละ 10,000 บาท เดือนๆ หนึ่งคำนวณกันว่าอย่างต่ำร้านเล็กๆ นี้ทำเงินรายได้ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทต่อเดือน จิโร่เป็นคนที่สนใจมีสมาธิอยู่กับงาน เรียกว่าคุณจะเห็นอิทธิบาทสี่เลย ประมาณตื่นกลางดึก เพราะคิดสูตรใหม่ได้ ประมาณว่าดูแล้วนึกถึงเซอร์ ไอแซ็ค นิวตัน นี่คิดเขา “คิด” ปรับปรุงงานอยู่ตลอดทุกลมหายใจ และ ยิ่งดูยิ่งเห็นว่าเขาทำด้วย “ใจ” จริงๆ เพราะไม่ได้ไปแข่งกับใคร

                                     

ในที่สุดได้รับรางวัลสามดาวจากมิชลิน ซึ่งประมาณโนเบลไพร๊ซ์ในวงการอาหารของโลก ตัวเจ้าของร้านกลายเป็นมรดกของชาติที่ยังมีชีวิต คุณจะเห็นความมุ่งมั่น เน้นกระบวนการปรุงที่สุกใหม่ ไม่มักง่ายๆ แต่ละคนคุณจะเห็นต้องลง “แรง” ลงกาย กันสุดๆ เอาแค่เชฟในร้านที่จะทำไข่หวานได้ ต้องอยู่ในร้านมาสิบปี ถึงจะหัดทำได้ พอทำนี่ก็ต้องทำกว่า 200 ครั้ง นี่คือหัดทำ จิโร่จึงพอปล่อยได้… ลูกน้องบอกว่าถ้าคุณต้องการเป็นสุดยอดเชฟ มาฝึกที่นี่ได้ จิโร่สอนคุณฟรี แต่คุณต้องอดทนกว่า 10  ปี 

คุณจะเห็นว่าผมชี้ให้เห็นสามองค์ประกอบสำคัญ ที่ผมเห็นในเรื่อง Jiro Dreams of Sushi นั่นคือ “ใช้หัวคิด” “ใช้ใจ” “ลงแรง”  ตรงนี้ทำให้ผมนึกถึงปัญญาสามฐานที่ท่านอาจารย์ดร. วรภัทร์ ภู่เจริญพูดบ่อยๆ นั่นคือ “ปัญญาฐานคิด ฐานกายและฐานใจ”  ซึ่งต้องพัฒนาไปควบคู่กัน นั่นเอง

เช่นเรื่องการศึกษาถ้ามีแต่ความคิด แย่ครับ คิดมาก แต่ไม่ลงมือทำ ก็ไม่มีทักษะอะไร ที่สุดถ้าเอาแต่ลอก (ไม่มีฐานใจ) ก็จบกันครับ  เรียกว่า “ใจ” ไม่ได้ บางคน ยิ่งเป็นคนมีประสบการณ์ มั่นใจขนาดที่ไม่ยอมรับฟังใคร ขนาดอาจารย์ทำมาเยอะ อยากแนะนำ ยังตั้งการ์ด เห็นปัญหาของเขาว่ามันจะไปยากนะ  อาจารย์ยังไม่อยากพูดแนะนำอะไรมากเพราะอวดดีมาก  ก็คงต้องเสียเวลาไปเอง น้ำเต็มแก้วแล้ว…  นี่ครับ ขาดฐานใจแล้ว ก็ต้องเหนื่อยคิด เหนื่อยทำเอง แทนที่จะลัดเวลาได้ แต่ไม่มีใครช่วยเพราะไม่มีใจจะให้ครับ  ผมว่าการศึกษาบ้านเราต้องเน้นเรื่องฐานใจและฐานกายให้สมดุลย์กับ ฐานคิดครับ บางคนคิดดี ใจดี แต่ทำน้อยไป ตรงนี้ก็ไม่เบ่งบานมากนัก ต้องหากุศโลบาย ในการทำให้มากๆ อดทนทำไป

                        

ในเรื่องของใจ จะเห็น Jiro ไม่ได้พยายามแสวงหารางวัลอะไรครับ ทุ่งเทแรงกายแรงคิดแรงใจ  พัฒนาปัญญาสามฐานไปเรื่อยๆ ก็ได้รับการยกย่องระดับโลก แต่บ้านเราตอนนี้ เอกชนและสถาบันการศึกษาหลายแห่ง “ซื้อรางวัล” ครับ  คือไม่ได้ปรับปรุงอะไร ไม่ได้ใช้ฐานคิด ฐานกายอะไร เพราะ “ฐานใจ” มันบิดเบี้ยวไปแล้ว  เราจึงไม่เห็นผลิตผลอะไรดีๆ ออกมา ลองเช็คสิครับ ที่ได้รับรางวัลโน่นนี่นั่น มีคนส่งเข้าไปแข่งกันจริงๆ เหรอ

ภาครัฐ ล่าสุดเราจะเห็นข่าวครอบครัวหนึ่งติดค่าไฟ เลยถูกตัดไฟทันที เนื่องจากจน เลยไปทำมาหากิน ทิ้งให้ลูกสองคนจุดเทียนทำการบ้าน ได้เรื่อง ไฟลามมุ้ง ไหม้ขึ้นมา เด็กถูกไฟคลอกตาย แม่เสียลูกทีเดียวสองคน  การไฟฟ้าได้แต่ออกมาเสียใจ พร้อมชี้แจงความจริงว่า เขาได้จ้างบริษัทรับตัดไฟ ที่คิดเป็นรายหัว ยิ่งตัดไฟได้มาก เขายิ่งรายได้มาก  ถามว่าผิดไหม ไม่ผิดตามระบบครับ เดี๋ยวนี้ใครก็ทำตามๆกัน  ตรงนี้คุณจะเห็นชัดว่า…  องค์กรชั้นนำหลายแห่งในไทย ใช้แต่ปัญญาฐานคิด แต่ขาดเรื่องฐานใจ ขาดเมตตา  ได้เงินจริงแต่ก็บาปครับ ไม่มีใครดีขึ้น  ต้องทบทวน ผมไม่ได้เหมาหมดนะครับ เอาเฉพาะเหตุการณ์นี้ มองจากคนนอกครับ 

ท่านคานธี ที่กอบกู้เอกราชอินเดียโดยใช้แนวทาง “สันติ” นี่คือปัญญาฐานใจเป็นแกนนำ ที่สุดฐานคิด ฐานกาย ก็ระเบิดตามมา ท่านได้รับการยกย่องแม้กระทั่งศัตรูของท่าน ไม่เหมือนหลายประเทศ ที่มีการลุกฮือปฏิวัติ แต่ไม่ได้ใช้ฐานใจ ใช้แต่ “ใจ” ที่เข้าข้างตนเอง ที่สุดนำมาสู่ความรุนแรง (กาย) และความคิดหมกมุ่น จนแทบ”ไม่เคย” จะสู้ใครได้ และอ่อนลงเรื่อยๆ 

ในระดับบุคคล บางคนน่ารักมากดี ดูมีความคิด พอมาสอนร่วมกันไหง ครั้งต่อไป งานของเราไปอยู่บนชีทของเขาเรียบร้อย. และเป็นอย่างนี้กับหลายคน ที่สุดเมื่อมีแต่ความคิดและกำลัง แต่ขาดซึ่ง “ใจ” สักพักคนรอบตัวก็เริ่มตีตัวออกห่าง  บางคนทำงานที่ไรลงแรงครับ ลงแรงอยู่คนเดียว ไม่แสวงหาความร่วมมือกับคนอื่น ที่สุด One Man Show ไม่มีใครอยากทำงานด้วย 

และถ้าผมนึกถึงครั้งที่ทำงานได้ผลที่สุด มักเกิดช่วงที่เรามี “ใจ” เราให้เกียรติกัน ไม่แย่ง “ดี” กัน เรามาลง “ความคิด” เรามาช่วยกัน “ทำ” นั่นเป็นครั้งที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง สร้างความแตกต่าง เกิดการเรียนรู้ เติบโตไปไกลครับ ผมเห็นปรากฏการณ์นี้ไม่ใช้ในวง OD เอง แต่ในวงการ Training Coaching ก็เหมือนกัน ชัดมากๆ…

                                                 

ปัญญาสามฐานหากสมดุลย์จะเกิดการพัฒนา ก้าวขีดจำกัด ยกระดับตัวเองไประดับโลกได้  ตอนนี้ถ้าไม่สมดุลย์ก็ ต้องคิดกันใหม่ เริ่มจาก “ใจ” มุ่งทำแบบคิดดี ไม่ใช่เพื่อเอาหน้าเอาตา หรือเพื่อใคร แล้วต้องลง “แรง” ลุย ในขณะเดียวกันก็หมั่น “คิด” ไปเรื่อยๆ ผมฝันว่า ฝันของจิโร่ จะแพร่กระจาย ขยายไปในวงการต่างๆ ของไทย จนเราก้าวไปสู่ระดับโลกแบบไม่ต้องอายใคร

ส่วนในวงการ OD ต้องมองกันดีๆ ครับ ต้องปลูกฝังเรื่องนี้กันเลย ไม่งั้นจะติดหล่ม ไม่ก้าวหน้าขึ้นได้ง่ายๆ และถ้าทำได้ ซึ่งหลายคนทำอยู่ เชื่อว่าเราจะได้ไกลแน่นอน

คนพูดเรื่องปัญญาสามฐานมากๆ และน่าติดตามศึกษามากๆคือท่านอาจารย์ดร. วรภัทร์ครับ คนนี้สุดยอดมากๆ ลองดูเรื่องปัญญาสามฐานได้ที่นี่ครับ 

วันนี้เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ

References:

Picture1: www.willshannon.blogspot.com/

Picture 2: http://www.thairath.co.th/content/life/345549

Picture 3: http://www.tumblr.com/tagged/life%20wisdom?language=fr_FR



หมายเลขบันทึก: 541027เขียนเมื่อ 1 กรกฎาคม 2013 09:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 กรกฎาคม 2013 11:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

 

"...องค์กรชั้นนำพวกนี้ในไทย ใช้แต่ปัญญาฐานคิด แต่ขาดเรื่องฐานใจ ขาดเมตตา  ได้เงินจริงแต่ก็บาปครับ ไม่มีใครดีขึ้น  ต้องทบทวน..."

ขอบคุณบทความดีๆนะครับอาจารย์ 

ขอเชิญผู้สนใจบทความของ Thailand Appreciative Inquiry Network (AI Thailand) โดย อ.ภิญโญ แวะเข้าไปที่ http://www.aithailand.org/ เพื่อดูบทความอื่นๆที่น่าสนใจนะค่ะ และขอเชิญแวะไปที www.ailearningcircle.com ซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารอีกทางหนึ่งของ AI Thailand ค่ะ คลิกที่ไอคอนของ ailearningcircle ได้เลยค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท