วันนี้ ผู้เขียนขอพูดถึงประสบการณ์
‘ยิ่งใกล้ ยิ่งเจ็บ’
ของโค้ชค่ะ หัวข้ออาจฟังดูแปลกๆสักหน่อยนะคะ
แต่เป็นสาระสำคัญเลยล่ะค่ะ
ในระหว่างการโค้ช
เป็นเรื่องปกติที่โค้ชชี่จะเล่าเรื่องราวต่างๆในชีวิตของตนให้โค้ชฟัง
เมื่อเขารู้สึกไว้วางใจในตัวโค้ชท่านนั้น บางเรื่องที่โค้ชชี่เผชิญอยู่
โค้ชก็อาจเคยเผชิญกับสถานการณ์ในลักษณะเดียวกัน เช่น
โค้ชชี่ท่านหนึ่งโดนรุ่นพี่ในที่ทำงานแย่งผลงานไปเป็นของตนเอง โค้ชก็เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
โค้ชก็เลยอดไม่ได้ที่จะมีอารมณ์ และความรู้สึกร่วมไปด้วย เกิดความเห็นอกเห็นใจ
และสงสารโค้ชชี่ หมายความว่า
โค้ชท่านนี้ไม่ใช่กระจกบานใสที่สะท้อนภาพที่ชัดเจนให้แก่โค้ชชี่อีกต่อไปแล้ว
กลายเป็นกระจกที่ขุ่นมัว ด้วยฝุ่นของอคติ
แม้ว่าโค้ชจะมีเจตนาดีที่จะช่วยเหลือโค้ชชี่ แต่การนำตัวเองจมลงไปกับปัญหาของโค้ชชี่ด้วยการรู้สึกร่วมกับโค้ชชี่กลับกลายเป็นอันตราย
เพราะในระหว่างโค้ชกับโค้ชชี่ โค้ชควรเป็นคนที่มีสติสมบูรณ์ที่สุด
และไร้อคติที่สุดจึงจะให้ความช่วยเหลือโค้ชชี่ได้อย่างแท้จริง
โค้ชมืออาชีพจึงมักรักษาระยะห่างระหว่างตนเองกับโค้ชชี่
บนพื้นฐานของความไว้วางใจ โค้ชจะระวัง และไม่ปล่อยให้ประสบการณ์ส่วนตนมาครอบงำ
ชี้นำตนเเอง และใช้มันชี้นำโค้ชชี่ในรูปแบบต่างๆ เช่น การตั้งคำถามนำ
การกระตุ้นส่งเสริมให้โค้ชชี่จมลงไปในรายละเอียดของปัญหาด้วยการพูดสนับสนุน
การให้คำแนะนำอย่างมีอคติ โค้ชที่ดีจะสามารถแยกแยะระหว่าง 'ความเข้าอกเข้าใจ'
(Empathy) กับ 'ความเห็นอกเห็นใจ'
(Empathy) ในกระบวนการโค้ชได้เป็นอย่างดี ความเข้าอกเข้าใจตัวตน
ความคิด มุมมอง ของโค้ชชี่ในแบบที่เขาเป็นโดยไม่ตัดสินเขา
ถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ และทรงคุณค่าที่สุดแล้ว
เพราะโค้ชยังสามารถมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างกระจ่างชัด และเป็นกลาง
และยังอาจช่วยให้โค้ชชี่มองสถานการณ์ในแง่มุมที่แตกต่าง และสร้างสรรค์ขึ้น
โดยตัวโค้ชไม่จำเป็นต้องแบกรับปัญหาของโค้ชชี่มาถือไว้เป็นของตน โค้ชที่มือไม่ว่าง
ก็คงไม่สามารถยื่นมือไปช่วยโค้ชชี่ได้ค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆครับโค้ช
ขอบคุณครับ
ชอบคะคุณบี ติดตามอ่านอยู่นะคะ
ดีใจค่ะที่ชอบ