ใจของเราทำไมถึงมีปัญหา...?


เราทุก ๆ คน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าต้องพากันประพฤติปฏิบัติธรรม ปัญหาต่าง ๆ  อยู่ในโลกนี้มันไม่มี ที่มันมีเพราะใจของเรามีปัญหา

ใจของเราทำไมถึงมีปัญหา...? 

เพราะว่ามันมีทิฏฐิมีมานะมีอัตตามีตัวมีตน มีเรามีเขา มันมาถือเอาร่างกายนี้เป็นของ ๆ เรา มาถือเอาใจนี้เป็นของ ๆ เรา มาถือเอาเวทนานี้เป็นของ ๆ เรา มาถือเอาความรู้สึกนึกคิดเป็นของ ๆ เรา ที่แท้จริงแล้วมันไม่มีอะไรเลยเป็นของ ๆ เรา มันมีแต่ธรรมะ มันมีแต่ธรรมชาติ เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เมื่อเรายังมีความหลงมันก็ทำอะไรตามความหลง มันเลยเป็นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้เราทุก ๆ คนมาแก้ที่จิตที่ใจของตนเอง อย่าให้ใจตัวเองมันตามความอยากตามความต้องการ ถ้าเราตามความอยากตามความต้องการมันไม่มีวันจบวันสิ้น มันมีแต่ตั้งแต่ปัญหา

ปรับตัวเองเข้าหาศีลทั้ง ๕ ข้อนะ ปรับตัวเองเข้าศีลทั้ง ๘ ข้อ สามเณรก็ปรับหาศีล ๑๐ ข้อน่ะ พระภิกษุก็ปรับตัวเองเข้าหาศีล ๒๒๗ ข้อ มอบกายถวายชีวิต มอบให้ต่อความดี คือพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์

พระพุทธเจ้าน่ะท่านไม่ทำตามจิตตามใจตามอารมณ์ท่านถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า  พระอรหันต์สาวกท่านไม่ทำตามจิตตามใจท่านถึงได้เป็นพระอรหันต์

ความสุขอันใดก็สู้ความสงบไม่ได้ ถึงแม้เราจะรวยเป็นมหาเศรษฐีมีอำนาจวาสนา  ถ้าใจของเราไม่สงบมันก็ไม่มีความสุขน่ะ


ความอยากความปรุงแต่งที่อยากให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้คือความทุกข์อย่างยิ่ง

พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนทุก ๆ คน ให้หายใจเข้าสบายหายใจออกให้สบายไม่ต้องไปคิดอะไรมาก มีหน้าที่หายใจเข้าสบายมีหน้าที่หายใจออกให้สบาย

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงสิ่งที่ชอบใจไม่ชอบใจมันเป็นเพียงอารมณ์เป็นเพียงแต่ความยึด ความถือเป็นทิฏฐิมานะอุปาทานของเรา เราอย่าไปสนใจมัน เรามาฝึกหายใจเข้าให้มันสบายหายใจออกให้มันสบายไว้ทุก ๆ อิริยาบถ ไม่ว่าจะเดินยืนนั่งนอนเราฝึกหายใจเข้าออกให้สบายไว้ ให้จิตใจมันรู้ตื่นเบิกบานไม่มีความทุกข์อะไร

การทำใจให้สบายนี้เป็นบุญใหญ่เป็นอานิสงส์ใหญ่ ถ้าใครไม่รู้จักทำใจสบายถือว่าบุคคลนั้นเป็นบาปน่ะ เพราะเราไม่ได้พัฒนาตัวเองฝึกตัวเอง ปล่อยตัวเองไปตามยถากรรมตามสิ่งแวดล้อม ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถูกความคิดถูกอารมณ์มันจูงไปนำไป ไม่ได้กลับมาหาตัวเอง ไม่ได้กลับมาหายใจเข้าสบายออกสบาย

เรามาแก้ความคิดจิตใจของเราน่ะมันง่ายกว่าไปแก้สิ่งอื่น เพราะว่าไม่ต้องเสียเงินเสียสตางค์เสียวัตถุ มาแก้ความเห็นผิดความคิดผิด กิเลสของเรามันมีมากความต้องการของเรามันมีมาก ถ้าเราไม่ตามใจเรานี้มันก็เครียดมันก็แน่นหน้าอก

มันจะเครียดก็ช่างมันมันจะแน่นหน้าอกก็ช่างมัน สิ่งไหนมันเป็นศีลนี้เราต้องยึดไว้  ถ้าเราไม่ยึดไว้เราไม่ตั้งมั่นไว้สมาธิของเรามันก็ไม่เกิด

ศีลนี้ถึงเป็นสิ่งที่ดีน่ะ เป็นสิ่งที่ช่วยเหลือเรา คนที่กลัวศีลก็คือคนกลัวความดี กลัวพระพุทธเจ้า ไม่ชอบพระพุทธเจ้า

ทุก ๆ คนต้องรักศีล ต้องชอบศีล ต้องยินดีมีความสุขในการรักษาศีล...

ทุกท่านทุกคนในใจน่ะเต็มไปด้วยอดีต สมมุติทั้งหลายทั้งปวงที่เราว่าของเราว่าตัวว่าตนของเราว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายล้วนแต่เป็นอดีตทั้งนั้น ความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายทั้งปวงนั้นถือว่าเป็นอดีต

เราพยายามทิ้งอดีตทิ้งเหตุการณ์ที่ผ่านมา เรามาฝึกปล่อยฝึกวาง เพื่อให้จิตใจของเราเข้าถึง “ปัจจุบันธรรม” เข้าถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่อง

ต้องทำใจดีใจสบายที่สุดในปัจจุบัน... เอาตัวเองออกหมด เอาตัวตนออกหมดน่ะ มีแต่ธรรมะ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของ ๆ เรา

เรามาปรับจิตปรับใจของเราให้ใจของเราสบายให้ได้ เรามาปรับกายของเราน่ะ อันไหนไม่ดีเราต้องปรับปรุงให้หมด ถึงจะว่าเป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นผู้ปฏิบัติชอบ เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติสมควร เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า

สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านี้หมายถึง “อริยสงฆ์” ถ้าใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็เป็นพระอริยสงฆ์หมดน่ะ พระสงฆ์ที่เราเห็นกันอยู่นี้ปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์นี้เขาเรียกว่า “สมมุติสงฆ์” ยังไม่ใช่พระอริยสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าต้องการ

ศีลนี้แหละที่จะทำให้ทุกคนเป็นพระอริยสงฆ์...

ครั้งพุทธกาลน่ะ พระ ๓๐ รูป แล้วก็มีโยมคนหนึ่งเป็นผู้ดูแลอุปัฏฐากให้อาหารให้ปัจจัยทั้งสี่ พากันประพฤติปฏิบัติธรรมกัน ปรากฏว่าพระยังไม่ได้บรรลุธรรมเท่ากับโยมอุปัฏฐาก โยมอุปัฏฐากน่ะได้เป็นอนาคามีแล้ว ส่วนพระน่ะยังเป็นบุคคลธรรมดาอยู่ แสดงให้เห็นว่าถ้าใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบุคคลนั้นก็เป็นพระอริยเจ้าได้กันหมดนะ

เราอยู่ที่บ้านเราก็มีความสุขในการรักษาศีลอยู่ที่บ้าน เราอยู่ที่วัดเราก็มีความสุขในการรักษาศีลให้ดีที่อยู่ที่วัด ถ้าเราทิ้งศีลทิ้งข้อวัตรปฏิบัติ เราก็ไม่ใช่นักปฏิบัติเราก็เป็น “นักปรัชญา”

นักปรัชญามันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มันดับทุกข์ให้ตัวเองไม่ได้ มันมีแต่ความรู้ มันไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา สิ่งที่จะเข้าถึงธรรมะได้ก็คือศีล สิ่งที่จะเข้าถึงวิมุตติหลุดพ้นคือสมาธิ คนเราจะรู้มากรู้น้อยไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เป็นคนมีศีลมีสมาธิ จิตใจนี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ มีสัจจะ อย่าได้ทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ให้เอาศีลเป็นที่ตั้ง จะไม่ได้เป็นเพียงนักปรัชญา จะได้เข้าถึงพระศาสนา

ทุกท่านทุกคนน่ะอย่าได้พากันสงสัยในการประพฤติปฏิบัติ เน้นมาหาตัวเองนี้แหละ  ทุกท่านทุกคนต้องปฏิบัติเอง ไม่มีใครมาประพฤติปฏิบัติให้เราได้ คนอื่นเค้าจะดีเค้าจะชั่วเราอย่าไปสนใจ พยายามเน้นมาหาที่ตัวเรา โลกนี้มันเป็นอย่างนี้แหละ เราเกิดมาก็มีทั้งคนดีคนชั่ว เราตายไปมันก็มีคนดีคนชั่วอย่างนี้แหละ จะให้คนดีคนชั่วหมดไปจากโลกนี้มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก เราต้องมาแก้ตัวเอง เพื่อตัวเองจะได้ไปพระนิพพาน

คนมีปัญญามากมันก็เครียด เห็นคนอื่นทำไม่ดีทำไม่ถูก มันเอาดีเอาชั่วของคนอื่นมาใส่ใจตัวเอง มาไว้ในใจตัวเอง มันเครียด มันหมดศรัทธา หมดกำลังใจ ความคิดอย่างนี้มันไม่ถูก มันเป็นความคิดที่เป็นบาป ใคร ๆ เขาจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวเขา เขาจะเป็นบ้าเปลื้องผ้าเดินก็ช่างหัวเขามันไม่เกี่ยวกับเรา

เจริญเมตตาไว้เยอะ ๆ รู้จักสงสารคนอื่น รู้จักเมตตาคนอื่น เพราะทุกคนนั้นมีความทุกข์ทั้งทางกายทางใจ หน้าที่การงานสิ่งแวดล้อมมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น เขาก็มีทุกข์อยู่แล้วเราอย่าไปซ้ำเติมเขา ถ้าเราคิดอย่างนี้ใจของเราก็สงบ ใจของเราก็เย็น ใจของเราก็ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งชาติแบ่งตระกูล ทุก ๆ ท่านก็ล้วนแต่เป็นญาติพี่น้องเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น


เจริญเมตตามาก ๆ ไว้ สงสารคนอื่นที่รอบข้างเราใกล้ตัวของเรา อย่าไปจับผิดคน  อย่าไปเอาดีเอาชั่วคนอื่นมาแบก ทุกข์ของตัวเองก็หนักอยู่แล้วยังเอาทุกข์ของคนอื่นมาแบกอีกเค้าเรียกว่าเป็นคนพาลหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง ใจมันอันธพาลน่ะให้คิดอย่างนี้นะ

ปัจจุบันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เราพยายามคิดไว้ให้มันดี ๆ คิดให้มันเป็นบวก กระทำสิ่งที่ดี ๆ เพราะคนเราทุก ๆ คนมันมีความเห็นแก่ตัวมาก เป็นคนติดสุขติดสบายติดขี้เกียจขี้คร้าน เป็นคนที่มีโลกส่วนตัว

พระพุทธเจ้าท่านให้เราเสียสละเป็นคนขยัน เป็นผู้ให้ ไม่เอาอะไรมีแต่ให้ ให้ทั้งกายให้ทั้งวาจาให้ทั้งทางจิตใจ ให้อภัย ต้องเป็นผู้ให้ มีความสุขในการให้ มีความสุขในการเสียสละ

ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านเกิดมาเพื่อเป็นผู้ให้ วันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง มีเวลาพักผ่อนเพียง ๔ ชั่วโมงนะพระพุทธเจ้าน่ะ นอกจากนั้นให้ตลอดเลย ยิ่งเราเป็นคนรู้มากฉลาดมากเราก็ยิ่งที่จะเอาความสุขจากคนอื่น จะด้วยเจตนาหรือด้วยไม่เจตนาก็ดี

พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนเราให้เป็นผู้ให้ ถ้าเราเป็นผู้ให้ทุกอย่างมันจะดี จิตใจของเราจะเข้าถึงสวรรค์ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่เรายังไม่ตายถ้าเราเป็นผู้ให้น่ะ

ส่วนใหญ่เรายังไม่เป็นผู้ให้นะ โกรธใครเกลียดใครสิบปียี่สิบปีแล้วมันยังยึดยังถืออยู่  มันยังไม่ให้อภัยเขาเลย เป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งอย่างนี้น่ะ ถ้ารู้ว่ามีใครมาแซงอย่างนี้มันอยู่ไม่เป็นสุข มันไม่รู้จักเสียสละ มันต้องเป็นหนึ่งให้ได้ อย่างนี้เค้าเรียกว่าเป็นมหาเศรษฐีก็ไม่มีความสุขเพราะใจไม่สงบ ใจไม่เสียสละ ใจไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวาง ไม่รู้จักเป็นผู้ให้

คนเรามันเห็นแก่ตัวรู้ว่าคนนั้นได้ดีมันก็ไม่พอใจ รู้ว่าคนนั้นเขาเคารพนับถือมากก็ไม่พอใจ รู้ว่าคนนั้นมันสวยมันหล่อกว่าเราเราก็ไม่พอใจ จิตใจน่ะมันมีแต่ความตระหนี่มีแต่ความเห็นแก่ตัว มันไม่ได้เป็นผู้ให้

เราต้องเป็นผู้ให้นะ บางทีเราติดความสุขติดความสงบมันก็ไม่อยากทำงาน มันอยากอยู่แต่กับความสงบ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนเราอย่างนั้น เมื่อเรามีความสงบแล้วก็อย่าไปติดความสงบ เราก็ต้องทำงาน เราก็ต้องดูแลคนอื่นช่วยเหลือคนอื่น อย่าไปติดสุขติดสบายติดสะดวก มัวแต่ไปกินบุญเก่าเดี๋ยวบุญเก่ามันจะหมด ต้องทำความดี ต้องเสียสละไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ

อย่าไปทำตามอารมณ์ ขยันก็ทำ ไม่ขยันก็ไม่ทำ อย่างนี้เค้าเรียกว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ ปฏิปทาไม่สม่ำเสมอ ถ้าเราหายใจไม่สม่ำเสมอเราก็ตาย บางวันได้ทานอาหาร บางวันเราไม่ได้ทานอาหารน่ะมันไม่สม่ำเสมอ ความดีเราต้องประพฤติปฏิบัติให้สม่ำเสมอปฏิปทานี้สำคัญน่ะ เค้าดูโยมดูที่ความประพฤติดูปฏิปทา เค้าดูพระเค้าก็ดูที่ความประพฤติดูปฏิปทาที่สม่ำเสมอ

การประพฤติปฏิบัติต้องติดต่อต่อเนื่องมันถึงจะได้ผล พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเราไว้อย่างนี้นะ

เราทุก ๆ น่ะมาพัฒนาตัวเองมาพัฒนาเรื่องความประพฤติของตัวเองให้มันเป็นคนที่ดีเป็นพระที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เค้าเรียกว่า “ปฏิปทา”

ต้องมาแก้ใจของตัวเองอย่างนี้ แก้การกระทำของตัวเองอย่างนี้ เราอยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติที่นั่นอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่มีที่ไหนที่ไม่ปฏิบัติ ปฏิบัติทุกอิริยาบถ เค้าเรียกว่าเดินตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ไม่ขาดตกบกพร่องทั้งกายทั้งวาจาและจิตใจอย่างสม่ำเสมอเป็นปฏิปทา

การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวันนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา ขอสมมุติยุติไว้เพียงเท่านี้

ด้วยอำนาจคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระอริยสงฆ์ ให้ทุกท่านทุกคนเข้าถึงสวรรค์ มรรคผลนิพพานด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ...


พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย

เช้าวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


หมายเลขบันทึก: 538041เขียนเมื่อ 4 มิถุนายน 2013 07:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน 2013 11:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท