(หมายเหตุ.... เรื่องนี้ผมได้เขียนไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่เวอร์ชันนี้มีบางอย่างแถมขึ้นมาให้หลากหลายยิ่งขึ้น)
เรามักถูกสอนแต่เด็กๆ ว่าให้เคี้ยวอาหารให้แหลกก่อนกลืน วันนี้ผมมาตะแบงคิดว่าไม่น่าใช่ ผมว่าการเคี้ยวอาหารให้แหลกเกินไปจะทำให้อาหารย่อยไวเกินไป ซึ่งจะมีโทษต่อร่างกายหลายต่อมาก ดังนี้
1. ทำให้หิวไวขึ้น และกินมากขึ้น อ้วนมากขึ้น
2. อวัยวะภายใน (ตับไตใส้พุงม้ามหัวใจ) ต้องทำงานหนักในเวลาอันสั้นแต่รวดเร็วในการย่อย ดูดซึม โดยเฉพาะหัวใจต้องทำงานหนักในการสูบส่งสารอาหารผ่านหลอดเลือด ทำให้อวัยวะเสื่อมโทรมไวกว่าปกติ ส่งผลให้ “ตายไว” กว่าปกติ
3. สารอาหารที่ถูกย่อยมามากในเวลาอันรวดเร็วอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในกระแสเลือดไม่เพียงพอต่อการฆ่าเชื้อโรคที่แทรกซ้อนเข้ามาพร้อมสารอาหาร ทำให้ระดับเชื้อโรคในกระแสเลือดเข้มข้นขึ้น จนอาจเกินระดับปกติสุข ทำให้เกิดอาการป่วยไข้ต่างๆนาๆ ได้มากว่าการเคี้ยวอาหารหยาบ
4. สารอาหารที่ประดังเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกระแสเลือด อาจทำให้เซ็ลร่างกายดูดซับและย่อยสลายไม่ทัน อาจเกิดมีสารตกค้างจนกลายเป็นโรคต่างๆได้ เช่น เบาหวาน
5. ยิ่งเคี้ยวนาน ยิ่งละเอียด เศษอาหารก็จะยัดเยียดเข้าไปยังใต้เหงือก ซึ่งยากจะกำจัดออกได้ ทำให้เป็นโรคเหงือก โรคฟันตามมา
6. เสียเวลาในการเคี้ยวนานเกินจำเป็น
สำหรับข้อ ๕ นี้มีเครื่องพิสูจน์ง่ายๆ ลองไปแหวะปากหมาแมวที่เลี้ยงแบบธรรมชาติดู (เลี้ยงแบบปล่อยให้กินหนู นก จิ้งจก) จะไม่เห็นว่าฟันเป็นหินปูนเลย แต่มันวาวใส เหงือกสีชมพู ทั้งที่ไม่เคยแปรงฟัน เทียบกับแมวที่เลี้ยงในบ้านกินอาหารสำเร็จตลอดเวลา ฟันมันจะเป็นหินปูน เพราะอาหารเม็ดมันแข็ง แมวมันต้องเคี้ยวให้ละเอียด อีกทั้งพวกแป้งที่ปนเข้าไปมันแตกละเอียดได้ง่ายมันคงเข้าไปอุดใต้เหงือกแมว แต่แมวกินหนู มันฉีกเนื้อเป็นชิ้นใหญ่ๆ แล้วกลืนลงคอ ไม่มีการเคี้ยว
ข้อ ๑-๔ ผมเสนอฝากไว้ให้แผ่นดิน ใครที่ทำงานด้านสุขภาพลองเอาไปวิเคราะห์กันดู เรืองนี้ขอทุนวิจัยระดับใหญ่ได้เลยนะครับ ใครพิสูจน์หาความสัมพันธ์ได้อาจถึงรางวัลโนเบล ...แต่รับรอง ผมคิดอะไรมักไม่ผิดหรอก ถูกมาจนเบือถูกแล้ว อิอิ
เรื่องหัวใจเต้นแรงกว่าปกตินั้นหมอฝรั่งเขารู้กันหมดแล้ว เหตุผลก็คงเป็นเพราะหัวใจสูบส่งสารอาหารไปเลี้ยงเซลร่างกายนั่นเอง
...คนถางทาง (๑๗ พค. ๒๕๕๖)
น่าคิดนะคะอาจารย์