ชีวิตบนโลก Online


ชีวิตบนโลก Online


           จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้พบเจอ เหมือนมรสุมลูกแล้วลูกเล่า เข้ามากระทบกับชีวิตของเรา คลื่นชีวิตในแต่ละลูกเข้ามากระทบความรู้สึกของเรานั้น มีทั้งคลื่นเล็ก คลื่นใหญ่ ขึ้นอยู่กับที่เราจะใช้ สติ + ปัญญา นั้น เข้ามาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้คลี่คลายลงไปได้อย่างไร? สิ่งแรกที่ต้องใช้ นั่นคือ "สติ" ตั้งสติให้มั่นและทำใจรับกับสภาพปัญหานั้น ๆ ให้ได้ แล้วค่อย ๆ ใช้ "ปัญญา" ที่ตัวของเรามี ตลอดทั้งการระมัดระวังตนเองให้มากขึ้นกับการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน...ค่อย ๆ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ บางครั้งต้องใช้ "ปัญญา" ของตัวเราที่มีอยู่ ซึ่งในแต่ละคนก็จะมีปัญญาที่ไม่เหมือนกัน อาจเนื่องมาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่แต่ละคนมีมาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับโอกาส สภาพแวดล้อมดั้งเดิม สภาพปัจจุบัน ที่แต่ละคนได้พบเจอ รวมทั้งประสบการณ์ + ความรู้ดั้งเดิมนั้นด้วย

           จากที่ผู้เขียนโดน เรื่อง "เตือนภัย!!! บนโลก Online" ถึง ๒ ครั้ง แต่ก็ผ่านมาได้ นั่นคือ การตั้งสติรับกับมันให้ได้ เพราะมีความเชื่อเป็นทุนเดิมแล้วว่า..."ตัวเรา ไม่โลภ ไม่หวังได้เงินของคนอื่น + ตัวเราก็ไม่อยากที่จะเสียเงินหรือทรัพย์สินของเราให้กับคนอื่นเช่นกัน"...จึงขอฝากให้เป็นข้อคิดสำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตบนโลก Online ว่า...ถ้าเราไม่หวังหรือโลภเรื่องเงินของผู้อื่น และก็ระวังรักษาเรื่องเงินหรือทรัพย์สินของเราที่ไม่ยอมให้กับผู้อื่น...เท่านี้ก็อยู่ได้แล้วที่จะใช้ชีวิตรับกับสภาพความเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นทุก ๆ วันสำหรับชีวิตในปัจจุบัน บนโลก Online...

           ผู้เขียนเคยนั่งคุยท่านผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่ง ท่านชื่อว่า "ศาสตราจารย์ ดร.ปรัชญา เวสารัชช์" ทางกองบริหารงานบุคคลได้เชิญท่านมาเป็นวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับเรื่องงานกับชีวิตในมหาวิทยาลัย ช่วงรับประทานอาหารกลางวันก็ได้นั่งเป็นเพื่อนท่านรับประทานข้าวกลางวันด้วย...ผู้เขียนได้เล่าถึงชีวิตของผู้เขียนเอง โดยเปิดกระทู้ถามท่านว่า...เกิดความสงสัยว่า "ทำไม? ตัวของผู้เขียนเอง จึงไม่มีจิตคิดอิจฉา ริษยาผู้อื่น มีแต่ความหวังดีต่อผู้อื่นมากกว่า ไม่เคยคิดร้ายหรืออคติต่อผู้ใด" ท่านมองที่หน้าของผู้เขียน ท่านพูดเสมอว่า..."ท่านเป็นหมอเดา ไม่ใช่หมอดู" แต่ผู้เขียนคิดว่า ท่านใช้หลักจิตวิทยาในการดูคนและก็ศึกษาเรื่องชีวิตมนุษย์ + ชาติภูมิเกิดที่มีมาแต่กำเนิด ฯลฯ...ท่านได้พูดขึ้นมาคำหนึ่งว่า...ท่าน ผอ. เป็นคนที่ปฏิบัติธรรม ขอให้ปฏิบัติต่อไปนะ อย่าได้ท้อหรือทิ้งมันเสีย...ชาติภูมิเดิมของ ผอ. มาจากที่ดี จึงทำให้เมื่อมาเกิดในชาตินี้ ภพนี้ จึงไม่มีจิตริษยา เป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่นตลอด...ผู้เขียนยังสงสัยว่า ท่านรู้ตัวของเราได้อย่างไรว่าเราเป็นเช่นนั้น...เพราะที่ท่านพูดนั้น นั่นคือ!!! ตัวของเราเอง...ได้แต่นั่งฟัง + จิตก็คิดตามท่าน ท่านยังพูดต่อว่า...ชาตินี้ก็อย่าลืมปฏิบัติต่อเพราะว่าการทำความดีในชาตินี้ มันจะต่อบุญให้ ท่าน ผอ.ไปในภพหน้า...คำพูดนี้ ผู้เขียนก็คิดตรงกับท่านเสมอ + มีความเชื่อเช่นที่ท่านพูดเสมอ เพราะทำให้เห็นว่า คนเราที่เกิดมาในชาติมีความแตกต่างกันเพราะ "กรรม" ของแต่ละคนนั่นเอง...เห็นได้จาก ความแตกต่างในแต่ละบุคคลเป็นเบื้องต้น... และพยายามทำความดี สร้างความดีต่อเพื่อนมนุษย์ตลอดมา...ท่านทักตัวผู้เขียนหลายเรื่อง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนถามว่า...ทำไม? เวลาตัวเราไปปฏิบัติธรรม หรือเข้าวัด เราจึงได้กลิ่นหอมแปลก ๆ ถามใคร ๆ ว่าได้กลิ่นเหมือนที่ตัวผู้เขียนได้บ้างหรือเปล่า? ก็ได้แต่การบอก "ปฏิเสธ"...บางคนบอกว่า "หอมเหมือนกลิ่นกระแจ๊ะจันทร์" แต่ผู้เขียนบอกว่า "กลิ่มหอมเหมือนกลิ่นบุญ" บางคนก็บอกว่า "นั่นคือ กลิ่นของเทวดาที่อยู่รอบตัวเรา"

           ท่าน ศ.ดร.ปรัชญา บอกว่า...แสดงว่า ท่าน ผอ. มีบุญเก่ามามาก จึงได้กลิ่น เพราะบางคนไม่ได้กลิ่นแบบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวผู้เขียนเอง ท่านยังสำทับต่อว่า...ให้ทำความดีต่อ รับปากเขามาอย่างไร? ก็ทำให้สำเร็จ อย่ามัวเพลินกับกิเลส หรือสิ่งที่เข้ามาก่อกวนหรือทำลายตัวเราเสีย...ทำให้สำเร็จ ถึงเวลาแล้ว ท่าน ผอ.ก็จะกลับไปยังภพที่ท่าน ผอ.อยากไป...ทำให้ผู้เขียนได้คิด คนเรา เมื่อเราได้คุยกับผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่า "สำเร็จการศึกษาในระดับที่สูงแล้ว สูงทั้งผลงานทางวิชาการ สูงทั้งความรู้" แต่ท่านยังไม่ลืมเรื่อง "ชีวิตคนเรานั้นชาติภูมิมาจากที่ใด สุดท้ายจุดจบของเราจะไปที่ใด? ได้นั่งฟังท่านเล่าเรื่องต่าง ๆ ผู้เขียนเกิดอาการเพลิน "ยอมรับว่า...แบบนี้ คุยกับท่านได้ทั้งวัน เพราะชอบมากกับการใช้ชีวิตที่คุ้มค่าบนโลกมนุษย์...

            มีใครเป็นเช่นผู้เขียนหรือไม่ว่า...ยามใดที่มีคนคิดร้ายต่อผู้เขียน ไม่ว่าเรื่องใด ๆ...ผู้เขียนสังเกตตัวเองว่า...มันทำให้จิตของผู้เขียนเองสัมผัสได้ถึง "ภัยที่คนอื่นคิดร้าย...มันมีอาการเตือนให้ผู้เขียนใจคอไม่ค่อยดีเลยในช่วงนั้น ๆ...แต่เมื่อเวลาคลี่คลายหรือผ่านพ้นไปแล้ว หรือเรียกว่า...ถ้าเหตุการณ์ปกติ ผู้เขียนจะมีจิตใจที่นิ่ง สงบ อาจเป็นเพราะจิตของคนที่คิดร้ายนั้น เขากำลังส่งแรงอาฆาต พยาบาทมาถึงผู้เขียน...มีบางท่านบอกกับผู้เขียนว่า...เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจาก "เทวดาคุ้มครอง" ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา ท่านมาเตือนให้เราได้แต่ระวังตัวเข้าไว้...แต่ผู้เขียนกลับมีความคิดเห็นว่า...เป็นเพราะจิตของเราสงบ นิ่ง มีสมาธิ เมื่อไม่มีใครส่งกระแสจิตมาที่ตัวเรา จึงทำให้มีจิตที่นิ่ง สงบ...แต่ยามใดที่พวกเขาที่คิดร้ายส่งกระแสจิตมาถึงตัวเราแล้วเราจากการกระทบ "จิต" จึงทำให้เราเกิดอาการของจิตที่ไม่นิ่งขึ้นได้มากกว่า...นี่ก็เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล...แต่เป็นที่น่าสงสัยว่า...แล้วเราทำไม? ถึงทราบได้ละว่า...มันเกิดเหตุร้ายต่อตัวเราเองได้ ให้ระวังตัวเข้าไว้...เรื่องบางเรื่องในโลกนี้ บางครั้งมันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ค้านกับพวกที่มีความรู้เกี่ยวกับทางด้านวิทยาศาสตร์...

หมายเลขบันทึก: 535891เขียนเมื่อ 14 พฤษภาคม 2013 13:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤษภาคม 2013 15:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจค่ะ คุณจารุวรรณ 

ผมเดินจงกรม ในบ่ายวันหนึ่ง ไม่นานนี้ ก็ได้กลิ่นช่วงสั้น ๆ  แต่นึกไม่ออกว่าเป็นจากต้นอะไรครับ ขอบคุณมากครับ


พี่ผมเขาบอกว่า ที่คนโดนหลอกกันมากๆทุกวันเพราะเหตุสองอย่าง

โลภ  อยากได้มามากๆ

สงสาร  อยากจะช่วย  เลยโดนหลอก

เชิญอ่านเรื่องนี้ครับ กลิ่นของศิล

อัศจรรย์จริงหนอ โดยคนไม่ติดวัด


ปล่อยวาง คือ หนทางสงบ นะครับ ;)...

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท