ธัมมิกเศรษฐศาสตร์ เขียนโดย ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ ตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ คือ ๒๕ ปี มาแล้ว จัดพิมพ์เนื่องในวาระ “ ๗๒ ปี อาจารย์ป๋วย ” อ่านแล้วเห็นได้ชัดเจนว่า แรงบันดาลใจมาจาก ปราชญ์ ๒ท่าน ให้เกิดหนังสือเล่มนี้ คือ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (“ระบบเศรษฐกิจต้องมีธรรมะเป็นหลักนำ”) และท่านพุทธทาสภิกขุ (“ระบบเศรษฐกิจแบบธัมมิก”)
ในบทนำผู้เขียนบอกว่าต้องการเสนอเศรษฐศาสตร์แนวใหม่ซึ่งอาจเรียกว่า“เศรษฐศาสตร์สังคม” อ่านแล้วผมสรุปปะติดปะต่อว่า “เศรษฐศาสตร์3L” คือLife – Love – Light ที่ประกอบเอา “เศรษฐศาสตร์แห่งสุญญตา” และ “เศรษฐกิจแบบธัมมิกสังคมนิยม” เข้าด้วยกัน
ผมตีความ (ไม่ทราบว่าถูกหรือผิด) ว่า พุทธธรรมที่นำมาใช้ในหนังสือเล่มนี้เป็นเถรวาท เน้นที่บุคคลเป็นรายคน ผมตีความว่าในประเทศสแกนดิเนเวีย และอีกหลายประเทศในยุโรป (เช่นสวิส) เขาถือหลักนี้ในระดับทั้งสังคม หรือในระดับการจัดระบบสังคม จึงคล้ายกับยึดเศรษฐกิจธัมมิกสังคมนิยมแบบมหายาน โดยที่เขาไม่รู้จักคำนี้ ในประเทศเหล่านี้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมีน้อย ไม่มีชนชั้นคือเป็นชนชั้นกลางเหมือนกันหมด
ผมเคยได้ยินว่า ในเดนมาร์คคนขับรถเมล์เงินเดือนเท่าๆกันกับหมอ ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่
ผมชอบข้อความในหน้า ๒๐๗ ที่กล่าวว่า “สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะบรรลุได้ มีอยู่ ๔ ประการ
- ความสุข
- ความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์
- หน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่
- ความรักอันกว้างใหญ่ไพศาล”
และในหน้า ๒๑๙ “…สุญญตาซึ่งเป็นโลกุตรธรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องของพระหรือนักบวชชั้นสูงเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฆราวาสโดยตรงด้วย”
ผมสังเกตจากการไปสวิสครั้งแรกและไปญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อกว่า๓๐ปีมาแล้ว ว่าคนของสองประเทศนี้ไม่มีท่าทางที่แสดงความโลภหรือกิเลสตัณหาออกมานอกหน้า แตกต่างจากในหลายประเทศที่ผมเคยเดินทางไปรวมทั้งในประเทศไทย
ผมจึงคิดว่าการจัดระบบสังคมน่าจะมีส่วนให้ผมสัมผัสความรู้สึกเช่นนั้น ธัมมิกเศรษฐศาสตร์จึงน่าจะนำมาใช้ในระดับภาพใหญ่ของสังคม ไม่ใช่เพียงระดับภาพย่อยหรือส่วนบุคคล
ตอนสองของหนังสือเป็นเรื่อง “ธัมมิกสังคมนิยม- ระบบเศรษฐกิจแบบพุทธ” ผมชอบหัวข้อนี้มาก แต่อ่านสาระแล้วพบว่ามีแต่สาระเชิงทฤษฎี ผมจึงเกิดแนวคิดเชิงปฏิบัติที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบในสังคมไทยอย่างแท้จริง โดยไปศึกษาของจริงจากประเทศที่เขาเข้าสู่สภาพที่เราอยากเห็นอยากเป็น ผมได้ยกตัวอย่างไว้แล้ว๒ประเทศคือสวิตเซอร์แลนด์กับญี่ปุ่น เราน่าจะขอความร่วมมือขอศึกษาเชิงระบบ (ที่เป็นจริง) จากแนวคิดธัมมิกสังคมนิยมของเรา ว่าในทางปฏิบัติเขาทำอย่างไร สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับหลักธัมมิกสังคมนิยมอย่างไรบ้าง ผมเชื่อว่าเขาน่าจะยินดีให้ความร่วมมือ
มองเช่นนี้ประเทศที่เราไม่ควรเอาอย่างอย่างยิ่งคือสหรัฐอเมริกา แต่จะเห็นว่าในความเป็นจริงเราถูกดึงดูด (และดูจะยินยอมพร้อมใจเองด้วย) เข้าไปดำเนินรอยระบบเศรษฐกิจตามอย่างสหรัฐอเมริกาจนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นลูกสมุน
แม้ว่าในหน้า ๒๘๘ - ๒๙๑จะได้เสนอ “หลักปฏิบัติสำหรับการจัดองค์กร” แต่ก็ยังไม่เป็นรูปธรรม ยังไม่เสนอจากผลมาหาเหตุ ไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ ผมเชื่อว่าต้องมีการดำเนินการจากผลมาหาเหตุ หรือ Backward Design จึงจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง ข้อเสนอให้ศึกษาจากสวิส และญี่ปุ่น คือยุทธศาสตร์ดำเนินการจากผลมาหาเหตุ
ผมชอบชื่อภาคห้า “หลุดพ้นจากวิกฤตการณ์แห่งการพัฒนา” ซึ่งข้อความในหนังสือที่เขียนเมื่อ ๒๕ ปีมาแล้ว กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมันสวนทางกัน คือสังคมของเรายิ่งเป็นวัตถุนิยมยิ่งขึ้น ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนยิ่งกว้างขึ้น แสดงว่าวิธีการทางวิชาการที่ผ่านมาไม่ได้ผล
ผมมองว่าต้องใช้หลายวิธี ที่เป็นการวางรากฐาน คือต้องวางจากระบบ โดยเฉพาะระบบสำคัญๆของประเทศ ต้องถามหาโอกาสเท่าเทียมกันของคนในสังคมแบบที่คนฟินแลนด์เขาทำ
ระบบหนึ่งที่เป็นรากฐานของรากฐานคือคน หรือระบบการศึกษา ผมเชื่อว่าระบบการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑ คือระบบสร้างคนสู่ธัมมิกสังคมนิยม
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ก.พ. ๕๖
ไม่มีความเห็น