หลวงพ่อลูกศิษย์และลูกหมาใต้ถุนศาลา


"แต่วันหน้าถ้าพวกเจ้าทุกคนรู้จักคิด รู้จักเรียนรู้ รู้จักจิตใจ ความรู้สึก ความต้องการของคนรอบข้าง รู้จักบริหารความสัมพันธ์ให้สร้างสรรค์ วันนั้นทุกคนก็เป็นหัวหน้าคนได้เหมือนกัน"




เรื่องเล่าที่มีคนนำมาใช้เป็นอุทาหรณ์สอนใจที่ได้ยินกันบ่อยๆเรื่องหนึ่ง มีการนำไปใช้ต่างเรื่องต่างสาระแต่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ในการสอนคนให้ฉุกคิดเพื่อนำไปสู่การพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะถูกแปลออกมาใช้ในบริบทใดก็ตาม ผมได้ยินเรื่องนี้มานานแล้วละครับ นั่นก็คือเรื่องของหลวงพ่อที่ใช้ให้ลูกศิษย์ไปดูสุนัขที่ออกลูกอยู่ใต้ถุนศาลาการเปรียญ ถ้าลองสืบค้นดูในอินเทอร์เน็ตจะพบว่ามีโครงสร้างเดียวกันแต่หลากหลายรูปแบบการนำเสนอและวัตถุประสงค์ของผู้เล่า เห็นว่าน่าสนใจดีก็จะขอนำเสนอในเวอร์ชั่นของลุงโหนกบ้างนะครับ

เจ้าอาวาสวัดแถบชนบทภาคกลางรูปหนึ่งญาติโยมส่วนใหญ่มักจะเรียกท่านว่าหลวงพ่อ ไม่ใช่หลวงตาหรือหลวงปู่เหมือนวัดอื่นๆในละแวกเดียวกัน อาจเป็นเพราะท่านยังดูหนุ่มแน่นแข็งแรง เป็นพระนักพัฒนาที่ชาวบ้านให้ความนับถือ หลวงพ่อท่านให้การอุปการะลูกศิษย์ส่งเสียให้เล่าเรียนหลายคน ซึ่งก็ล้วนเป็นลูกหลานคนที่นั่นทั้งนั้น มีตั้งแต่เด็กเล็กที่เรียนในระดับประถมศึกษาไปจนถึงเด็กโตในระดับมัธยมปลายที่ต้องเข้าไปเรียนในเมือง

การที่มีเด็กๆจำนวนมากในปกครอง ท่านจึงต้องมีการออกกฏเกณฑ์เพื่อให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผน มีการแบ่งแยกหน้าที่การงานในความรับผิดชอบต่างกันไปตามความสามารถ ตามวัยของแต่ละคน

หลวงพ่อตั้งให้เก่งเป็นหัวหน้าของศิษย์วัดทั้งหมด เรียกว่าไดเร็ครีพอร์ตหรือรายงานตรงถึงท่านนั่นแหละครับ เก่งเป็นเด็กรุ่นโตที่สุดมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอีกสามคน เป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบสูง สุขุม รอบคอบ ประนีประนอม และเป็นคนมีเหตุผล น้องๆและเพื่อนๆทุกคนให้การยอมรับ แม้จะมีบางคนแอบไม่เห็นด้วยอยู่บ้างก็ตาม กล้าก็คือคนหนึ่งที่รู้สึกน้อยใจที่หลวงพ่อไม่ให้ความไว้วางใจให้เขาเป็นหัวหน้าบ้าง เพราะเข้าใจว่าตนเองแม้จะเป็นคนมุทะลุไปบ้างในบางสถานการณ์ แต่ก็เป็นคนที่ขยันขันแข็ง อดทนในการทำงาน และมีความรับผิดชอบไม่น้อยไปกว่าใครในหมู่ศิษย์วัดที่นี่ทุกคน เด็กๆทุกคนก็รับรู้ถึงความรู้สึกนี้ของกล้า ซึ่งแน่นอนว่าหลวงพ่อก็รู้เรื่องนี้ดีเช่นเดียวกัน

ปีนี้เก่ง กล้า และเพื่อนอีกสองคนก็จะจบชั้นมัธยมปลายและจะต้องแยกย้ายกันไปเพื่อศึกษาต่อ หรือไปประกอบอาชีพการงานซึ่งเป็นเส้นทางเดินในอนาคตตามทางของแต่ละคน

วันหนึ่งหลวงพ่อได้ยินเสียงผิดปกติดังมาจากใต้ถุนศาลาที่อยู่ติดกับกุฏิของท่าน พยายามฟังและสังเกตความเคลื่อนไหวก็พอจะเดาออกว่าสุนัขท้องแก่ที่มีอยู่ตัวเดียวในวัด (สงสัยตัวนี้จับไปฉีดยาไม่ทัน) คงจะไปออกลูกอยู่ที่นั่น รู้สึกเหมือนท่านมีความคิดอะไรแว่บเข้ามา ท่านรอจนเด็กๆรวมถึงเก่งกับเพื่อนกลับมาจากโรงเรียนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วกำลังจะเริ่มงานตามความรับผิดชอบประจำวัน จึงได้ใช้ให้เก่งเอาขันน้ำมนต์ไปให้ลุงมีมัคทายกไปเตรียมไว้สำหรับงานบุญบ้านเหนือในวันรุ่งขึ้น เมื่อเก่งขี่จักรยานลับตาไปแล้วท่านจึงเรียกกล้าให้มาหาแล้วบอกว่าได้ยินเสียงผิดปกติที่ใต้ถุนศาลาพร้อมกับใช้ไปดูหน่อยว่ามันเป็นอะไร

กล้ารับคำแล้วรีบวิ่งลงไปอย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียงนิดเดียวก็วิ่งกลับมารายงานหลวงพ่อว่า
 
กล้า "หมามันออกลูกครับหลวงพ่อ"

หลวงพ่อ "กี่ตัวล่ะ"

กล้าชะงักไม่แน่ใจรีบวิ่งกลับไปใหม่และก็กลับมารายงานต่ออย่างรวดเร็ว

กล้า "หกตัวครับหลวงพ่อ"

หลวงพ่อ "เออ..มีตัวผู้หรือตัวเมียอย่างละกี่ตัวหือ"

กล้าวิ่งกลับไปดูอีกครั้งแล้วรีบกลับมาอย่างรวดเร็ว

กล้า "ตัวผู้สอง ตัวเมียสี่ครับหลวงพ่อ"

หลวงพ่อ "มันสีอะไรกันมั่งล่ะ"

กล้ากำลังจะวิ่งกลับไปดูอีก แต่หลวงพ่อรีบออกปากห้ามไว้ บอกว่าไม่เป็นไรเอาไว้ค่อยไปดูทีหลังก็ได้ พอดีเก่งกลับมาจากบ้านลุงมีหลวงพ่อจึงเรียกเข้ามาหาแล้วใช้ให้ไปดูว่ามีอะไรมันส่งเสียงอยู่ใต้ถุนศาลา

เก่งเดินไปเข้าไปใต้ถุนศาลาหายเงียบไปเป็นเวลานานจนกล้ากับเด็กๆที่ตอนนี้ออกมานั่งล้อมหลวงพ่อกันอีกหลายคนเริ่มจะบ่นว่าทำไมไปนานจัง เสียเวลาจริงๆสักครู่เก่งจึงเดินกลับมารายงานกับหลวงพ่อว่า

เก่ง "อีนวลมันมาออกลูกอยู่ใต้ถุนศาลาตรงคานเก็บเรือยาวครับ"

หลวงพ่อ "เออ แล้วมันออกมากี่ตัวล่ะ"

เก่ง " หกตัวครับ ตัวเมียสี่ตัวผู้สอง"

หลวงพ่อ "สีขาวเหมือนแม่มันทุกตัวหรือเปล่า"

เก่ง "ไม่ทุกตัวครับ เจ้าตัวผู้สีขาวเหมือนแม่มันตัวหนึ่ง อีกตัวสีน้ำตาลมีแถบขาวที่คอ ตัวเมียสีขาวสองตัว ดำหนึ่งตัว อีกตัวลายดำขาวขนฟูมากกว่าตัวอื่นครับ หลวงตาให้พวกผมช่วยกันตั้งชื่อนะครับ"

หลวงพ่อ "เออ..เสร็จแล้วก็แยกย้ายไปทำงานทำการกันซะให้เรียบร้อย.."

คืนนั้นหลวงพ่อเรียกเก่ง กล้า และเพื่อนอีกสองคนที่จะจบการศึกษาและต้องออกไปเรียนที่อื่นมาพูดคุยสั่งสอนให้โอวาท บรรยากาศก็คงเป็นแบบปัจฉิมนิเทศอะไรทำนองนั้นแหละครับ ท่านก็สอนถึงเรื่องคุณธรรม การทำความดีประพฤติดีอยู่ในศีลในธรรม เมื่อไปอยู่ที่อื่นไม่มีท่านคอยจ้ำจี้จ้ำไชแล้ว ก็ยังต้องรู้จักนอบน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ กตัญญูกตเวที ขยัน อดทน ประหยัด ซื่อสัตย์ ฯลฯ ไปตามเรื่องอย่างที่พระจะสอนศิษย์ ทุกคนก็ดูเหมือนน้อมรับโอวาทนี้ไว้เพื่อนำไปปฏิบัติด้วยดี

ก่อนจบท่านได้เรียกกล้าเข้ามานั่งใกล้ๆ พูดกับกล้าและให้ทุกคนได้ยินทั่วกันว่า

หลวงพ่อ "เมื่อเย็นนี้ตอนที่ให้ไปดูลูกหมา หลวงพ่อถามครั้งหนึ่งเราก็ต้องวิ่งไปดูครั้งหนึ่ง ถามทุกครั้งก็ต้องเข้าไปดูทุกครั้งใช่ไหม"

กล้า "ใช่ครับ"

หลวงพ่อ "แต่เจ้าเก่งเขาไปครั้งเดียวกลับมาตอบได้ทุกคำถามใช่ไหม"

กล้า "ครับ"

หลวงพ่อนิ่งเงียบมองหน้าลูกศิษย์ทุกคนทีละคนนานเกือบหนึ่งนาที เป็นความเงียบที่ทำให้ทุกคนได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกของตัวเองก้องกังวานราวกับดังออกมาจากลำโพงกระจายเสียงของอบต.ข้างวัด ในที่สุดท่านก็พูดเป็นเชิงสั่งสอนขึ้นว่า

หลวงพ่อ "หลวงพ่อรักพวกเราทุกคนเท่ากันไม่เคยให้ความสำคัญกับใครมากกว่าใคร แต่ในเรื่องการทำงานทุกคนมีความถนัด ความเด่น ความด้อย ความรับผิดชอบ มีความเป็นผู้นำ ความเป็นผู้ตามต่างกัน..

เจ้ากล้าอาจจะรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างที่หลวงพ่อให้เจ้าเก่งเป็นผู้นำของพวกเราทั้งๆที่ตัวเองก็มีความสามารถไม่แพ้กัน แถมบางเรื่องอาจจะเก่งกว่าเสียด้วยซ้ำ วันนี้ทุกคนคงได้เห็นความต่างของคนสองคนแล้ว เป็นความต่างของส่วนที่เล็กน้อยมากอาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งส่วนร้อยหรือหนึ่งส่วนพันของคุณสมบัติโดยรวมของการเป็นผู้นำ แต่นั่นก็มากพอที่จะเอามาตัดสินได้ว่า ณ.เวลานี้ใครควรยืนอยู่ตรงจุดไหน มีสถานภาพอย่างไร..

การเป็นหัวหน้าคนมันไม่ได้ติดตัวมาตั้งแต่ออกจากท้องพ่อท้องแม่ มันไม่ใช่ว่าจะต้องทำอะไรเก่งกว่าคนอื่นเสมอไป ยังมีเรื่องยิบย่อยที่ต้องใส่ใจเอามาใช้อีกมากมาย หลวงพ่อก็สอนพวกเราไม่ได้..

วันนี้เก่งอาจจะมีความเหมาะสมที่นี่ แต่วันหน้าถ้าพวกเจ้าทุกคนรู้จักคิด รู้จักเรียนรู้ รู้จักจิตใจ ความรู้สึก ความต้องการของคนรอบข้าง รู้จักบริหารความสัมพันธ์ให้สร้างสรรค์ วันนั้นทุกคนก็เป็นหัวหน้าคนได้เหมือนกัน"

ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ลูกศิษย์แค่จำนวนสิบ จำนวนร้อยของหลวงพ่อที่ออกมาใช้ชีวิตอยู่ในสังคม คงเป็นส่วนหนึ่งของผู้คนที่สามารถสรรสร้างความสงบสุข พัฒนาความเจริญทุกด้านให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ได้ เหมือนสังคมในอุดมคติ

เช่นเดียวกัน..ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าหลวงพ่อยังคงมีชีวิตอยู่ ผมว่าท่านคงไม่อยากรู้หรอกครับว่าสังคมแท้จริงที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้มันมีสภาพเป็นอย่างไร..!

หมายเลขบันทึก: 531656เขียนเมื่อ 29 มีนาคม 2013 21:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 มีนาคม 2013 21:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ฉลาดอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องฉลาด+เฉลียว..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท